fbpx

ผิววัยรุ่น

วัยรุ่นเป็นช่วงอายุที่มีการเปลี่ยนแปลงในทุกๆด้าน ทั้งร่างกายและจิตใจ ช่วงวัยรุ่นผู้ชายเริ่มมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง รูปร่างที่บึกบึน เสียงแตก มีความกล้าแสดงออกอยากเป็นผู้นำ ส่วนผู้หญิงเริ่มมีสรีระส่วนเว้าโค้ง สนใจในเรื่องความสวยความงามมากขึ้น แล้วความเปลี่ยนแปลงทางด้านผิวล่ะ

การเปลี่ยนแปลงทางผิวหนังที่สังเกตุได้ชัดคือ หน้ามันเพราะต่อมไขมันผลิตน้ำมันมาก เริ่มมีหนวดเครา ขนรักแร้ และปัญหาสำคัญที่สุดคือ สิว ใครบอกว่าสิวไม่สำคัญ เป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่ต้องดูแลรักษา อันนี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเพราะ เมื่อเกิดสิวจะทำให้เด็กขาดความมั่นใจ ไม่กล้าแสดงออก บางรายถึงกับเป็นโรคซึมเศร้า ขาดเรียน และต้องเป็นที่ยอมรับกันว่าปัจจุบันรูปร่างหน้าตาที่ดีเป็นส่วนสนับสนุน หน้าที่การงานในอนาคตด้วย

เมื่อรับรู้ถึงปัญหาสิวแล้ว ทำอย่างไรล่ะถึงจะทำให้สิวไม่มาย่างกลายผิวของวัยรุ่น หมอมีคำแนะนำดังนี้

1. ล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง โดยสบู่อ่อนๆ ล้างหน้าตามแนวของเส้นขน  เพื่อหลีกเลี่ยงการอุดตันของรูขุมขน

           

2. ทานอาหารในกลุ่มพืชผัก ปลาทะเล อาหารทะเลเพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระ

3. นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ

4. หลีกเลี่ยงอาหารจำพวก นม เนย ถั่ว เค้ก ช็อกโกแลต ข้าวซ้อมมือ วิตามินรวม แอลกอฮอลล์

         

5. หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางค์ โดยเฉพาะครีมกันแดด แป้งผสมรองพื้น

6. หลีกเลี่ยงการทายาสเตียรอยด์ มักอยู่ในรูปของครีมแก้แพ้ แก้ผดผื่น

7. หลีกเลี่ยงการแกะสิว กดสิว ฉีดสิวเพราะจะทำให้เกิดรอยหลุมสิว

ถ้าปฏิบัติตัวแล้วสิวยังเกิดขึ้นอีกไม่ต้องกังวล อย่าดันทุรังไปซื้อครีมแก้สิวมาทาเอง เพราะจะทำให้ปัญหายิ่งบานปลาย ปรึกษาแพทย์ผิวหนังดีกว่าครับ แล้วจะเลือกรับการรักษาสิวอย่างไรดีล่ะ

ติดตามได้ในบทความฉบับหน้า

:: Share This ::

V Beam กับการแก้ปัญหาผิวหนังที่จัดว่าหิน

ปัญหาผิวหนังและความงามนั้นมีปัญหาหลายรูปแบบ ที่ง่ายนั้นก็มีมากแต่ที่ยากก็คิดว่าทุกคนคงรู้จักกันดี เช่น อาการแพ้และระคายเคืองง่ายทำให้ใบหน้าดูแดงอยู่เสมอ แผลเป็นจากสิว แผลเป็นนูน ความเหี่ยวย่นและการชราภาพของผิว

การแก้ปัญหาผิวหนังโดยเน้นเรื่องการดูแลปัญหาที่ผิวกำพร้าภายนอกนั้นทำกันมาเนิ่นนานทั้งนี้เพราะผิวหนังมีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถผลัดเซลล์ผิวใหม่ได้ สารจำพวกที่นำมาขัด เช่น ผงละเอียด ( Beads ) สารที่ทำให้ลอก เช่น กรด AHA BHA หรือสารที่บำรุงผิวที่ประกอบด้วยเอนไซม์ และวิตามินจึงเป็นหลักของการดูแลผิวและความงาม หากเป็นโรคภัย เช่นการอักเสบก็มีการเน้นใช้สารแก้อักเสบที่ทำให้ผิวบาง เช่น สารจำพวกสเตียรอยด์มาระงับการอักเสบของผิงหนังชั้นนอกเป็นส่วนใหญ่ การพิจารณาหรือวางแผนเพื่อแก้ปัญหาจากภายในไม่สามารถทำได้ดีนัก มีข้อจำกัดอยู่ที่การกินยา หรืออาหารเสริมเท่านั้น

ใต้ผิวหนังของเราลงไปเป็นผิวชั้นหนังแท้ที่มีเส้นเลือดเป็นหลักสำคัญ เหมือนอวัยวะภายในทุกชนิด เส้นเลือดเหล่านี้ความจริงแล้วก็จะไปกำหนดควบคุมการสร้างหรือการจัดระเบียบเซลล์อื่นทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น โพรงขน ต่อมไขมัน รวมถึงใยคอลลาเจนและใยอีลาสติน ดังนั้นแพทย์ผิวหนังและนักวิทยาศาสตร์ทางด้านนี้ต่างคิดว่าต้องมีสักวันที่เราจะสามารถหาวิธีควบคุมเส้นเลือดภายใต้ผิวหนังให้ได้ ซึ่งหากทำได้จะเป็นการพัฒนาให้การดูแลปัญหาผิวพรรณและผิวหนัง ขึ้นไปสู่มิติใหม่

หากเราเปรียบเทียบกับวงการแพทย์ด้านอื่นแล้วก็จะเห็นความสอดคล้องกัน ทางด้านหัวใจเรื่องที่สำคัญที่สุดในปัจจุบันก็คือการดูแลไม่ให้เส้นเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงหัวใจตีบ ทางด้านโรคไตก็เป็นการฟื้นฟูเส้นเลือดที่รวมตัวกันเป็นก้อนไตให้สามารถทำงานกรองของเสียได้ ทางด้านสมองก็เป็นการควบคุมการทำงานของเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองให้สมบูรณ์เพื่อแก้ปัญหาอัมพาต และทางด้านมะเร็งก็คือการควบคุมไม่ให้เซลล์มะเร็งสามารถสร้างสารกระตุ้นให้มีการสร้างเส้นเลือดเฉพาะมาหล่อเลี้ยงให้มะเร็งเจริญเติบโตต่อไป ดังนั้นนวัตกรรมใหม่ในการดูแลปัญหาผิวพรรณจึงต้องคาบเกี่ยวกับความสามารถในการควบคุมหรือ การจัดระเบียบเส้นเลือดหล่อเลี้ยงผิวหนังให้เป็นปกติอย่างแน่นอน หากทำเช่นนั้นได้ปัญหาฝ้าที่จะดีขึ้น ความเหี่ยวย่นก็จะดีขึ้น ปัญหาการรักษาแผลเป็นจากสิวหรือการผ่าตัด ปัญหาเนื้องอก ฯลฯ ก็จะง่ายขึ้น

ในปัจจุบันเรามีเลเซอร์ที่สามารถแก้ปัญหาปานแดงได้เป็นอย่างดี เรียกว่า Pulse dye laser (V-Beam) ดั้งเดิมเป็นเลเซอร์ที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อจะนำมาดูแลเรื่องปานแดง และความผิดปกติของเส้นเลือดอื่น ๆ ที่แพทย์ผิวหนังรู้จักกันดี ในระยะแรกไม่มีเทคนิคพ่นความเย็นประกอบทำให้การรักษาเส้นเลือดผิดปกติเหล่านี้ลงเอยที่มีแผลเป็น แต่ใน 5 ปีที่ผ่านมามีการนำเทคนิคการพ่นความเย็นเข้ามาช่วยและมีการปรับปรุงวิธีการฉายแสงเลเซอร์ให้ดีขึ้นทำให้การรักษาปานแดงทำได้โดยไม่มีปัญหาใด ๆ เมื่อเป็นเช่นนั้น แพทย์ผิวหนังที่มีความคิดสร้างสรรค์หลายต่อหลายทานจึงเริ่มที่จะนำเครื่องเลเซอร์ชนิดนี้ซึ่งเราให้ชื่อว่า V Beam ไปใช้ในปัญหาอื่น ๆ เริ่มด้วยการนำไปรักษาแผลเป็นจากการผ่าตัด จนเป็นที่ยอมรับว่าสามารถช่วยได้ดีกว่าการใช้วิธีการอื่น ๆ มีการขยายขอบเขตนำเครื่องV-beam ไปใช้ในการรักษาแผลเป็นจากสิว และล่าสุดนำไปใช้รักษาสิว ทำให้ขอบเขตการทำงานของเลเซอร์ชนิดนี้กว้างขวางมาก เพราะนอกจากจะเป็นเลเซอร์ที่ดูแลปัญหาโดยเข้าไปจัดระเบียบกับเส้นเลือดแล้ว ยังถือว่าเป็นเลเซอร์ที่ปลอดภัยที่สุดชนิดหนึ่งเพราะเป็นเลเซอร์ที่ใช้กับเด็กทารกแรกเกิดหรือคนท้องก็ได้ในเรื่องความงามก็มีการนำเลเซอร์ชนิดนี้ไปใช้รักษาความเหี่ยวย่นของหนังรอบตา และนำมาใช้รักษาเพื่อบำรุงให้ผิวหน้าดูอ่อนวัยขึ้นอีกด้วย

ดังนั้นหากจะมีคำถามว่าอีกนานเท่าใดที่เราจะสามารถจัดระเบียบเส้นเลือดที่อยู่ใต้ผิวหนังของเราให้ดีขึ้นเพื่อส่งผลต่อการแก้ปัญหาโรคผิงหนังและปัญหาความงามให้ดีขึ้นได้ดังใจและทำเรื่องต่าง ๆที่ดูว่ายากให้เป็นเรื่องง่ายนั้น คงมีคำตอบว่า ไม่ต้องรอนานอีกแล้วเพราะเรามี Pulse dye laser เป็นหัวหอกให้เราสามารถทำงานได้ดีพอสมควรและการพัฒนาอย่างต่อเนื่องต่อไป ในแนวทางของการใช้แสงเลเซอร์ชนิดนี้ ควบคู่กับการใช้เทคนิคอื่น ๆ เช่นการรับประทานอาหารเสริม ก็จะสามารถแก้ปัญหาที่เรามีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ปัจจุบัน V Beam สามารถแก้ปัญหาดังต่อไปนี้

– แก้รอยเหี่ยวย่นรอบดวงตา
– แก้ปัญหาแผลเป็นจากสิว และแผลเป็นนูน
– แก้ปัญหารอยจ้ำเลือด และความผิดปกติของเส้นเลือด เช่น อาการหน้าแดง อาการแพ้ระคายเคืองง่าย อาการใบหน้าที่เสียสมดุลเพราะใช้สเตียรอยด์มานาน
– ทำให้ผิวดูอ่อนวัยขึ้น
– แก้รอยหมองคล้ำจากแดด ( Poikiloderma of Civett )
– รักษาสิวที่อักเสบ
– รักษาอาการหน้าท้องลายหลังคลอดบุตรหรือรอยแตกที่เกิดในเด็กที่เติบโตเร็ว
– รักษาปานแดง และเส้นเลือดขอด

หากท่านผู้อ่านมีปัญหาเหล่านี้และได้รับคำตอบว่าไม่มีทางรักษา หรือกำลังรักษาด้วยวิธีอื่นที่เน้นเพียงการดูแลผิวกำพร้าชั้นนอก หรือ ดูแลที่ผิวชั้นในแต่ไม่เฉพาะกับการดูแลจัดระเบียบของเส้นเลือดแล้ว และยังไม่ได้รับผลที่น่าพอใจก็ลอง หันมารับการรักษาด้วยเลเซอร์ที่สามารถจัดระเบียบเส้นเลือดดูก็ได้อาจจะได้รับคำตอบที่ดีขึ้นครับ

ทางนีตนาทคลินิกและศูนย์เลเซอร์ SVJ ได้นำเอา V Beam มาใช้และให้บริการแก่ทุกท่าน

นพ.สมนึก อมรสิริพาณิชย์
อเมริกันบอร์ดผิวหนัง
นีตนาทคลินิก

:: Share This ::

การติด Steriod แบบไม่รู้ตัว

ปัญหาเรื่องการแอบใส่ สาร steroid ในครีมต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้ครีมเหล่านั้นในการป้องกันและลดอาการอักเสบ การระคายเคืองโดยไม่ได้คำนึงถึงผลข้างเคียงที่จะตามมา นั้นไม่ ใช่เป็นปัญหาที่น่ากังวลเฉพาะในเมืองไทยเท่านั้น

มีรายงานตั้งแต่ปี 1999 ในวารสาร British Medical Journal เล่มที่ 318 หน้า 563-564 โดยทีมแพทย์ผิวหนังของ มหาวิทยาลัยแพทย์ King College แห่งกรุงลอนดอน ประเทศ อังกฤษ นำโดย E M. Higgins ว่า ครีมที่อ้างว่าเป็น สมุนไพรจากจีนที่มีประสิทธิภาพในการรักษาการอักเสบของผิวหนังต่างๆนั้น ส่วนใหญ่มีการผสมสาร steroid ทั้งนี้ทีมวิจัยได้เก็บตัวอย่างครีมมาทั้งหมด 11 ชนิด จากผู้ป่วยโดยตรง เทคนิคที่ใช้ในการตรวจสอบนั้น ได้ ใช้ เทคนิคที่เรียกว่า high resolution gas chromatography and mass spectrometry

ผลจากการตรวจสอบพบว่า 8 ใน 11 ครีมมีส่วนผสมของ Dexamethasone ( สาร steroid ที่รุนแรงชนิดหนึ่ง) กว่า 500 ไมโครกรัมจาก เนื้อครีม 1 กรัม ทีมวิจัยจึงสรุปให้มีการเสนอการควบคุมที่เข็มงวดกับสารสมุนไพรจากจีนที่นำเข้า มาขายในอังกฤษ ความแรงของส่วนผสมที่พบนี้มีค่าเท่ากับการใช้สาร steroid เช่น 0.05% betamethasone valeate ซึ่งสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไปที่มีการควบคุมโดยเภสัชกร

ไม่เพียงแต่เท่านี้ ในปี 2003 กลุ่มแพทย์ชาวอังกฤษ อีกกลุ่มหนึ่ง ของโรงพยาบาล Birmingham Children’s Hospital ก็ได้รายงานความเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องการใช้สาร steroid ในผู้ป่วยเด็กเพราะจากตัวอย่างครีมที่ได้มาจากผู้ป่วยระหว่างปี 2002-2003 ทั้งหมด 24 ตัวอย่างของครีมที่อ้างว่าเป็นครีมสมุนไพรนั้น เมื่อทำการตรวจวัดด้วยเทคนิค HPLC พบว่ามีสาร steroid ในครีมทั้งหมด 20 ชนิด โดยมีสาร steroid จำพวก clobetasol propionate , betamethasone valerate, clobetasone butyrate และ hydrocortisone ในบางรายมีความเข็มข้นถึง 20% ทั้งนี้ผู้ป่วยที่ได้รับสาร steroid โดยไม่รู้ตัวนี้มีอายุเฉลี่ยตั้งแต่ 0.69 ถึง 7.98 ปี ผู้รายงานสรุปว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบความควบคุมดูแล และประชาสัมพันธ์อย่างทั่วถึงให้ประชาชนทราบถึงความเห็นแก่ตัวโดยไม่คำนึงถึงผลร้ายที่จะเกิดกับผู้บริโภคของผู้ผลิตครีมเหล่านี้

รายงานทั้ง 2 ฉบับนี้บ่งบอกถึงความรับผิดชอบต่อสังคมของแพทย์ที่มีจริยธรรม เพราะเป็นการวิจัยและรายงานจากทีมแพทย์ที่ไม่ได้มีหน้าที่โดยตรง

ทางนีตนาทคลินิกก็เป็นกังวลกับเรื่องนี้มากเช่นเดียวกันเพราะมีข้อมูลเบื้องต้นบ่งชี้ว่าครีมรักษาสิว ฝ้าที่ประชาชนได้รับมาไม่ว่าจากแพทย์ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ผิวหนัง แพทย์ผิวพรรณ คนขายครีมทั่วไป น่าจะมีสาร steroid เจือปนมากชนิดเช่เดียวกัน

การติดตั้งเครื่อง HPLC เพื่อการตรวจวัดสาร steroid นั้นต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายกว่า 8 ล้านบาท เป็นค่าเครื่อง ค่า ห้องปฏิบัติการ ค่าน้ำยาตรวจวิเคราะห์ และค่าจ้างนักวิทยาศาสตร์ประจำห้องปฏิบัติการ หาก หน่วยงานที่รับผิดชอบลงมาเก็บยาทาสิว ฝ้าเหล่านี้มาวิเคราะห์ก็จะดีไม่น้อย สถาบันโรคผิวหนังหรือภาควิชาตจวิทยาก็น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง หาก ไม่มีใครทำ นีตนาทคลินิกคงจะยอมลงทุนติดตั้ง ระบบวัดนี้เองในไม่ช้านี้ เพื่อประโยชน์อะไรหรือครับ ก็เพื่อตอบแทนบุญคุณอาจารย์ที่ประสิทธิประสาทวิชาผิวหนังให้มา เพื่อก่อประโยชน์ให้ส่วนรวม ไม่เช่นนั้นก็ภือเป็นการอกตัญญูต่อครูบาอาจารย์และวิชาชีพที่เรียนมานั่นเอง

ทีมวิชาการ นีตนาทคลินิก 2007

:: Share This ::

รอยแผลเป็นจากสิว รักษาวิธีใดดี

รอยแผลเป็นอันเกิดจากสิวนั้นเป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาของคนทุกๆคน คงไม่มีใครอยากมีใบหน้าขรุขระเหมือนผิวพระจันทร์

รอยหลุมสิวนั้นมีหลายลักษณะ ยกตัวอย่างเช่น รอยแผลเป็นนูนหรือคีรอยด์ รอยหลุมสิวซึ่งสามารถแบ่งรูปแบบได้คือ ขอบชัด ขอบไม่ชัด หลุมลึก หลุมตื้น หลุมกว้าง หลุมแคบ และมีรอยแดงหรือรอยดำร่วมด้วยหรือไม่ บางคนอาจมีหลายปัญหาร่วมกันอยู่เพราะฉะนั้นจึงไม่มีการรักษาวิธีใดดี่ที่สุดสำหรับรอยแผลเป็นจากสิว ต้องใช้การรักษาหลายวิธีร่วมกันจึงมีประสิทธิภาพมากที่สุด

การรักษารอยแผลเป็นในปัจจุบันแบ่งเป็น การรักษาที่ไม่ทำให้เกิดแผล( Non Ablative) การรักษาที่ทำให้เกิดแผลเล็กน้อย ( Semi Ablative) การรักษาที่ทำให้เกิดแผล ( Ablative ) และการทำศัลยกรรม

ในบทความสัปดาห์นี้จะกล่าวถึงการรักษาโดยไม่ทำให้เกิดแผล

Non Ablative technique

1. การใช้แสงเลเซอร์เป็นวิธีที่นิยมที่สุดและมีงานวิจัยมารับรองมากมาย

Vascular Laser 595nm pulsed dye laser ( Vbeam, Candela ) เป็นเลเซอร์ที่ช่วยในการรักษารอยแดง รอยแผลเป็นนูน และช่วยในรอยหลุมได้บางส่วน Dr. Gerald Goldberg University of Arizona กล่าวว่าเลเซอร์ชนิดนี้เหมาะที่สุดสำหรับรอยสิวที่มีสีแดงและบุ๋มเล็กน้อย

Infrared 1450nm diode laser ( Smoothbeam ) เป็นเลเซอร์ที่ช่วยในการรักษาสิวที่กำลังอักเสบและรอยหลุมสิว

Infrared 1320 YAG laser ( Cooltouch3, Sciton, Profile ) เป็นเลเซอร์ที่รักษารอยหลุมสิวแต่ไม่ช่วยในการรักษาสิวอักเสบ

RadioFrequency หรือ RF ( Thermage, Thermacool ) มีรายงานในการนำมาประยุกต์ใช้กับรอยหลุมสิว

แม้ว่าการรักษาหลุมสิวด้วยเลเซอร์ต่างๆในกลุ่มนี้จะไม่ทำให้เกิดแผลหลังทำและได้ผลดีแต่ปัญหาหลุมสิวนั้นยากที่จะฟื้นฟู ดังนั้นการทำเลเซอร์จึงต้องทำอย่างน้อย 4-6 ครั้ง

2. การทำทรีตเมนต์ต่างๆ

จุดมุ่งหมายในการทำทรีตเมนต์คือการใช้ครีมเป็นหลักในการรักษา แต่ปัญหารอยแผลเป็นจากสิวนั้นมีปัญหาในผิวหนังชั้นที่ลึกมากดังนั้นการใช้ครีมจึงไม่สามารถช่วยในปัญหานี้ได้มากแต่จะช่วยในด้านความชุ่มชื่นความสบายของผิวมากกว่า การรักษาทรีตเมนต์ได้แก่ การทำไอออนโต โฟโน นวดหน้า

ในบทความฉบับหน้าจะพูดถึง การรักษาโดย Semi Ablative ( Dermaroller ,Fraxel ,Microdermabrasion ,Chemical Peeling)

บทความโดย
นพ.วิสิฏฐ ศรีสนิท
แพทย์ศาสตร์ รามาธิบดี
Dlploma in Dermatology (Institue of Dermatology BKK)

:: Share This ::

การติดยาที่มีส่วนผสม Steroid

ทำไมถึงติด ( มักง่าย หวังรวย ซวยซ้ำ ช้ำใจ )

  • มีอาการแพ้บ่อย ๆ ต้องใช้ยาทา ทาแล้วหาย ต้องทาเป็นประจำ
  • หมอดูแลผิวหนัง ให้ยาทาเพื่อรักษาสิวและฝ้าเกรงว่าจะมีอาการแพ้ยาทาหรือผลิตภัณฑ์เลยใส่ Steroid ด้วยทุกครั้งจนคนไข้ติดยา
  • หมอวินิจฉัยว่าเป็นอาการแพ้ฝุ่นแพ้ไร หน้าบางเลยให้ Steroid มาตลอด ไม่มีใครช่วยให้หยุดยาเหล่านี้ได้เหมือนถูกเลี้ยงไข้
  • คนไข้หัวอ่อน ไม่กล้าเลิกหรือปรับวิธีคิด

ปรับวิธีคิดใหม่ (คิดใหม่ ได้คิด เลิกติด เป็นเหยื่อ หลงเชื่อคนเลว)

  • ผู้ป่วยยอมหมอเหล่านั้น เท่ากับยอมเลี้ยงไข้ตนเอง หากเลิกและหาความช่วยเหลือที่ถูกต้องก็จะหาย
  • ตั้งชมรมให้ความรู้ ให้ประสบการณ์กับเพื่อน สู้ไม่ถูกต้องให้ได้
  • การไปหาหมอ ไม่ใช่เป็นการซื้อของ คลินิกไหน เริ่มต้นไปได้ดี แต่แล้วแย่ลงมากว่าเดิม ติดSteroid แหง
  • บอกหมอว่าเรามาแบ่งหน้าที่กัน สั่งเลยว่าให้ทำอะไร ในวิสัยมนุษย์ที่ทำได้จะทำ ส่วนหมอทำให้หายจะใช้เวลานานเท่าไร
  • ทำไม คนไม่รักษากลับเป็นสิวน้อยกว่า ยิ่งรักษายิ่งแย่ลง อายใจกันบ้างหรือเปล่า
  • หมอเก่งต้องรักษาโรคยาก ๆ หาย นี่อะไรแค่รักษาสิวก็ไม่หายแล้วอวดตัวว่าเป็นหมอผิวหนังมีหลายสาขา

หมอคลินิกไหนไม่ใช้ Steroid

นีตนาทคลินิก และ SVJ

ข่าวดี อีกไม่นาน นีตนาทคลินิกจะจัดให้มีห้อง Lab เพื่อเช็คว่าครีมของคลินิกใดมี Steroid หรือไม่เมื่อติดตั้งและควบคุมการตรวจเช็คได้ผลน่าเชื่อถือ 100 % แล้ว ก็จะประกาศให้ทราบ ฉะนั้น คลิกนิดใด ใช้ steroid กรุณาทราบและปรับปรุงด่วน

:: Share This ::

ยารักษาสิวทำให้เกิดอารมณ์ซึมเศร้า ?

บทความนี้หมอเรียบเรียงจาก BBC NEWS วันที่ 20 กันยายน 2549 ที่ผ่านมาค่ะ
เนื่องจากเห็นว่าเป็น Topic ที่น่าสนใจสำหรับคนไข้ที่มีปัญหาสิวกันอยู่

ตามข่าวได้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับยา Roaccutane (กรดวิตามินA) ซึ่งเป็นยาเฉพาะสำหรับรักษาสิวชนิดรุนแรง มีผลทำให้เกิดพฤติกรรม/อารมณ์ซึมเศร้าในหนูทดลองได้ เนื่องจากประสิทธิภาพในการรักษาสิวชนิดรุนแรงได้ผลดี จึงมีการใช้ยา Roaccutane อย่างแพร่หลายทั่วโลกประมาณ 13 ล้านคน และในเดือนกันยายน 2549 นี้เองมีรายงานการเกิดผลข้างเคียงจากผู้ที่ใช้ยานี้ 1,588 ราย (25 รายเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย)

ก่อนหน้านี้มีงานวิจัยจาก University of Texas เกี่ยวกับยา Roaccutane และผลข้างเคียงจากยาที่มีผลต่อระบบประสาทและพฤติกรรมอารมณ์ โดยทำการทดลองให้ยา Roaccutane ในหนู
เป็นเวลา 6 สัปดาห์ และเฝ้าสังเกต (monitor) การแปลงพฤติกรรมในหนูทดลอง

ผลการวิจัยพบว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายในหนูทดลอง เว้นแต่ส่วนใหญ่หนูไม่ค่อยมีการเคลื่อนไหว ซึ่งอาจประเมินได้ว่าเป็นการแสดงออกถึงภาวะซึมเศร้า

อย่างไรก็ตาม Dr. Sarah Bailey นักวิจัยในทีม ได้ให้คำแนะนำแก่กลุ่มวัยรุ่นใช้ยา Roaccutane รักษาสิวอยู่ว่าไม่จำเป็นต้องกังวลมากถึงขนาดหยุดการใช้ยาทันทีแต่ให้ผู้ปกครองเฝ้าดูและสังเกตอารมณ์/พฤติกรรมของบุตรหลาน เพราะจนถึงปัจจุบันนี้ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจน ที่จะอธิบายสาเหตุการเกิดอารมณ์ซึมเศร้าจากยา Roaccutane อาจเป็นไปได้ว่ายาอาจทำให้เกิดการลดระดับของ ‘Serotonin’ ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ควบคุมด้านอารมณ์
หรือยาอาจจะมีผลยับยั้งการสร้างใหม่ของเซลล์สมองบางประเภท

สาเหตุที่ Roaccutane เป็นยาที่เป็นข้อห้ามในการใช้กับหญิงตั้งครรภ์เนื่องจากอยู่ในกลุ่ม Retinoids (อนุพันธ์ของวิตามินเอ) ซึ่งเป็นที่ทราบในทางวิทยาศาสตร์อยู่แล้วว่าสำคัญกับการเจริญของระบบประสาท

จากบทความนี้ทำให้เราได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์เพิ่มขึ้นในการรักษาสิวและน้อง ๆ วัยรุ่นควรปรึกษาแพทย์ก่อนซื้อยามาใช้เอง เพื่อหลีกเลี่ยงข้อแทรกซ้อนของยาที่ไม่พึงประสงค์ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้โดยที่เรารู้เท่าไม่ถึงการณ์จากการรักษาสิวตามกระแสสังคมนะคะ

ยังมีข้อมูลบางส่วนที่กล่าวถึงวิตามินเอมีผลต่อเซลล์สมอง อาจเกี่ยวข้องกับการเกิดโรค
อัลไซเมอร์และโรคจิตเภท (Schizophrenia) ด้วย ถ้ามีข้อมูลใหม่ๆ ที่มีประโยชน์เพิ่มเติม หมอจะมา Update ต่อนะคะ

เรียบเรียงโดย พญ.สุรัติ อัศวานุชิต
Certificate in clinical dermatology, NSC, Singapore

:: Share This ::