fbpx

PDT กับแนวทางการรักษาสิว

Photodynamic therapy (PDT) เป็นวิธีการรักษาที่ใช้ 3 สิ่งสำคัญ คือ สารไวต่อแสง (Photosensitizing
drug) ,แสง (light source) ,ออกซิเจน (Oxygen) ซึ่งสารไวแสงจะสามารถซึมผ่านเฉพาะเซลล์ที่ผิดปกติ และ
สลายจากเนื้อเยื่อปกติได้เร็ว เพราะค่าครึ่งชีวิตสั้น เช่น 5- Aminolevulinic acid (ALA) ส่วนแหล่งกำเนิดแสงแบ่ง
ได้เป็น laser และ Nonlaser หลักการของการรักษาคือการเกิดปฎิกิริยาเคมีระหว่างสารไวแสง(ALA)ถูกกระตุ้นโดยแสง แล้วเกิดการสร้าง single oxygen และ Free radicals ซึ่งเป็นตัวทำลายเซลล์ ซึ่งข้อบ่งชี้ของการรักษาแบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ได้เป็น 1) Benign conditions 2) Premalignant conditions 3) Malignant conditions ขณะนี้โรคที่ยอมรับจาก FDA ที่อเมริกา ว่าวิธี Photodynamic therapy ใช้ ALAในการรักษาแล้วได้ผลดี คือ Actinic keratoses ในกรณีของ nonhypertrophic actinic keratosis ที่ต้องหาวิธีมารักษา เพราะโรคนี้สามารถเปลี่ยนไปเป็นมะเร็งผิวหนังได้ และที่สำคัญวิธีนี้สามารถรักษาได้พร้อมกันหลายจุด ข้อดีไม่ต้องผ่าตัด ไม่มีแผล ต่อมาอีกโรคที่น่าสนใจคือ สิว สามารถใช้วิธีนี้รักษาได้เช่นกัน ในกรณีของสิวในรูปแบบ สิวอักเสบและสิวซีสต์เมื่อทา ALA บนหน้าทิ้งไว้แล้ว ตามด้วยการยิงเลเซอร์ Vbeam (595nm) ผลที่ได้สามารถลดจำนวนสิวที่เกิดขึ้น รวมถึงลดความมันบนใบหน้าและกระชับรูขุมขน อย่างไรก็ตามสำหรับเมืองไทยเรายังไม่มีการรับรองหรือนำสาร
ALA มาใช้ ทางนีตนาทคลินิก และ ศูนย์เลเซอร์เอสวีเจ กำลังติดตามงานวิจัย ALA หากมีข้อมูลใหม่ๆติดตามได้ทาง website www.SVJclinic.com หรือ www.netanart.com

Keywords : Photodynamic therapy , 5- Aminolevulinic acid , Pulse dye laser , Actinic keratoses , Acne

บทความโดย
แพทย์หญิง นพมณี มาลากร
Diploma in Dermatology ( Institute of Dermatology, Bangkok )
Certificate in Cutaneous and Laser Surgery ( Institute of Dermatology, Bangkok )
Certificate in Laser surgery ( Siriraj Medical school )
พบ.มหาวิทยาลัยรังสิต

:: Share This ::

ผื่นแพ้จากการใช้เครื่องสำอาง

ในปัจจุบันการดูแลรักษาผิวพรรณเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้แล้วสำหรับคนยุคใหม่ ในแต่ละคนมักจะมีผลิตภัณฑ์เสริมความงามที่ใช้อยู่อย่างน้อย 3-4ชนิดต่างลักษณะและการใช้งานเช่น ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ครีมกันแดด ครีมหน้าขาว ครีมกระชับรูขุมขน ครีมบำรุงผิว ทั้งอยู่ในรูปครีม โลชั่น เซรั่มต่างๆ เป็นต้น การเพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์ความงามเหล่านี้ยังผลให้อุบัติการณ์ของผื่นแพ้เพิ่มสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว
ลักษณะของผื่นแพ้จากเครื่องสำอางอาจแบ่งได้คร่าวๆดังนี้

1. อาการระคายเคือง ( Irritant ) พบได้บ่อยที่สุด อาการแพ้รูปแบบนี้เกิดได้กับทุกคนที่สัมผัสสารเคมีในครีม จะมีอาการแสบร้อน ระคายเคืองยุบยิบบนผิวหนังหลังใช้เครื่องสำอางทันทีส่วนอาการคันจะมีตามหลัง ลักษณะของสารที่กระตุ้นทำให้เกิดการระคายเคืองมักอยู่ในรูปของกรดผลไม้ สาร surfactant

2. อาการแพ้ ( Allergy ) เกิดขึ้นเฉพาะบุคคลยกตัวอย่างเช่น นส. A ใช้ครีมA แล้วแพ้ แต่นส.B ใช้ครีมA แล้วไม่แพ้ สรุปคือ นส.A มีอาการแพ้ต่อครีม A อาการแพ้รูปแบบนี้จะมีอาการคันนำมาก่อนและจะมีผื่นแดง สิว ตุ่มใสร่วมด้วยได้ เกิดหลังจากใช้เครื่องสำอางเป็นระยะเวลาหนึ่งตั้งแต่1วันจนถึงเป็นปีก็ได้ อาการแพ้ allergy พบบ่อยขึ้นในปัจจุบันเนื่องจากมีการใช้สารเคมีมากขึ้น สารที่ก่อให้เกิดการแพ้ allergy ที่พบบ่อยได้แก่ น้ำหอมที่ผสมในครีม สารกันเสียในครีม

ในกรณีที่สงสัยว่าเกิดอาการแพ้ควรรีบหยุดใช้เครื่องสำอางทันทีหากอาการยังไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและรับการรักษาที่ถูกต้อง ในปัจจุบันมีการทดสอบสารภูมิแพ้ทางผิวหนัง (Patch test) ทำให้ผู้ป่วยที่มีอาการแพ้ง่ายสามารถรู้ถึงสารที่ตนเองแพ้และหลีกเลี่ยงสารภูมิแพ้ชนิดนั้น

:: Share This ::

คนเป็นสิวเลือกครีมกันแดดแบบไหนดี (sunscreen)

แดด…..ศัตรูตัวฉกาจของคนรักผิว เพราะนอกจากแดดจะทำให้เกิดปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอ เช่น กระ, ฝ้า, ผิวไหม้ แพ้แดดแล้ว แสงแดดยังทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยเร็วขึ้นด้วย ดังนั้นเราจึงควรทาครีมกันแดดทุกวันให้เป็นนิสัย ปัญหาคือ เราจะเลือกครีมกันแดดอย่างไรจึงเหมาะกับ สภาพผิว? เป็นคำถามที่หมอถูกถามบ่อยจากคนไข้ SVJ ที่รักษาปัญหาสิวดีขึ้นแล้วค่ะ

ครีมกันแดด (Sunscreen) แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ

  • ครีมกันแดดประเภทเคมี (chemical Sunscreen) เป็นครีมกันแดดที่มีสารดูดซับรังสี UV (Ultraviolet) จากแสงแดดเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนสลายไป ไม่ผ่านลงไปทำอันตรายต่อผิวเรา
  • ครีมกันแดดกายภาพ (Physical Sunscreen หรือ Non-Chemical Sunscreen) เป็นครีมกันแดดที่ออกฤทธิ์โดย Block หรือสกัดกั้นรังสี UV ไว้และสะท้อนรังสีกลับไม่ให้ผ่านเข้าสู่ผิว

ที่นี้เรามาดูกันว่าครีมกันแดดทั้ง 2 ชนิด มีข้อดี-ข้อเสีย ต่างกันอย่างไรบ้าง และเราจะเลือกใช้ครีมกันแดดอย่างไหนดีกว่ากัน

Physical Sunscreen

  • กันแสงได้หลายช่วงคลื่น ทั้ง UVA,UVAVisible light และ infrared
  • โอกาสแพ้มีน้อย
  •  ทาแล้วหน้ามักขาว บางทีอาจขาวเว่อมากได้

Chemical Sunscreen

  • กันแสงได้บางช่วงคลื่นเท่านั้น(แล้วแต่สารเคมีที่ใช้)
  • โอกาสแพ้มีมากกว่า Physical Sunscreen เนื่องจากเป็นสารกันแดดเคมีและทาแล้วอาจรู้สึกเหนียวเหนอะได้
  • ราคามักถูกกว่า Physical Sunscreen
  • เวลาทาหน้าจะไม่ขาววอกมาก

นอกจากชนิดของสารกันแดดที่เราควรรู้จักแล้ว สิ่งที่เราควรพิจารณาอีกอย่างเวลาเลือกใช้ครีมกันแดด คือ ค่าซึ่งบอกประสิทธิภาพของสารกันแดดที่เราใช้นั่นคือ Sun Protection Factor หรือที่เราได้ยินชื่อย่อกันบ่อย ๆ ว่า SPF และอีกชื่อหนึ่งคือ PA เราลองมาดูว่า SPF และ PA คืออะไร

รังสียูวีในแดด มี 2 ชนิด

1. UVA สร้างปัญหาให้ผิวได้มาก เนื่องจาก UVA ทะลุลงไปถึงชั้นหนังแท้, ทำลายคอลลาเจนได้ทำให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นก่อนวัย
2. UVB ทำลายชั้นผิวด้านบน ๆ ทำให้เกิดรอยหมองคล้ำ ผิวไหม้แดด กระ ผ่า รวมถึงมะเร็งผิวหนัง

SPF ค่านี้ หมายถึงว่า เมื่อทาครีมกันแดดแล้วทำให้ผิวทนต่อแสงแดด,ไม่เกิดอาการ
แสบแดงหรือไหม้ได้นาน เป็นกี่เท่าของผิวปกติที่ไม่ได้ทาครีมกันแดด ยกตัวอย่าง เช่น หากเราอยู่กลางแจ้ง หรือโดนแดดประมาณ 15 นาที ผิวจะเริ่มแดงเมื่อใช้ครีมกันแดด SPF 15 จะสามารถปกป้องผิวได้นาน 15 เท่า คิดเป็นเวลาได้นาน 15×15 =225 นาที หรือประมาณ 4 ชั่วโมง

ส่วนค่าซึ่งบอกประสิทธิภาพป้องกัน UVA คือ PA (Protection Factor For UVA) มีค่าแสดงจาก น้อย (+) ถึงมาก (+++) ดังนั้นครีมกันแดด ที่มีค่า pa สูง(+++) ก็จะช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นและรอยคล้ำบริเวณผิวจาก UVA ได้

สิ่งที่หมอเล่ามาตั้งยาวเพื่อจะบอกว่าครีมกันแดดที่ดี คือ ครีมกันแดดป้องกันได้ทั้ง UVA(ป้องกันการเหี่ยวย่น) และ UVB (ป้องกันมะเร็งผิวหนัง)

ส่วนการเลือกครีมกันแดดสำหรับน้องๆ ที่เป็นสิวง่าย ซึ่งถ้าส่วนใหญ่ผิวมันด้วย ควรเลือกสารกันแดดที่เป็นเนื้อเจลหรือโลชั่น เพื่อให้ซึมผ่านผิวง่ายและไม่รู้สึกเหนียวเหนอะมากนักค่า SPF 15 สามารถปกป้องผิวจากแดดได้เพียงพอสำหรับชีวิตประจำวันที่ไม่ต้องเผชิญกับแดดจ้ามากนักเนื่องจาก ยิ่งค่า SPF สูงกันแดดได้นาน แต่ก็หมายถึงว่ามีสารเคมีต่างๆผสมอยู่ในปริมาณสูงโอกาสแพ้ก็มากขึ้น และอาจเกิดปัญหาการอุดตันและเป็นสิวตามมาได้ แถมราคาก็สูงตามไปด้วย

ทีนี้น้องๆ ที่เป็นสิวง่ายคงเลือกใช้ครีมกันแดดได้มั่นใจขึ้นแล้วนะคะ
ถ้ายังมีข้อข้องใจอื่น ๆ เกี่ยวกับสารกันแดด
สามารถมาปรึกษาหมอที่ SVJ CENTER ได้ทุกเมื่อคะ

เรียบเรียงโดย พญ. สุรัติ อัศวานุชิต

:: Share This ::

ทำไมถึงชอบกดสิว

การมีเม็ดสิวขึ้นมาบนใบหน้าเป็นสิ่งที่วัยรุ่นทุกคนไม่อยากให้มี ถ้ามีก็จะพยายามกำจัดมันให้เร็วที่สุดดั่งจะเห็นได้จากการบีบ แคะ แกะสิวเพื่อทำให้หัวสิวหลุดออกมาโดยหารู้ไม่ว่าการกระทำเหล่านี้ทำให้โพรงขนเกิดความเสียหายทำให้เกิดรอยแผลเป็นตามมา

ต่อมามีการคิดค้นวิธีการรักษาสิวด้วยวิธีกดสิวโดยใช้เครื่องมือกดสิว น้ำกรดแต้มสิว การใช้เข็มเปิดรูขุมขนแล้วใช้เครื่องมือกดสิวตาม วิธีการนี้เป็นที่นิยมอย่างรวดเร็วทำให้มีการผลิตเครื่องมือกดสิวออกมาเป็นจำนวนมากมายหลายรูปแบบในปัจจุบันสามารถหาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป แม้แต่แพทย์เองก็ยังนำการกดสิวมาเป็นแม่แบบในการรักษาสิว จึงมีคำถามว่าโพรงขนบนใบหน้ามีประมาณ 100,000 โพรงหากจะกดสิวเพื่อการรักษาสิวต้องกดสิวถึง 100,000 ครั้งหรือไม่

ทำไมการกดสิวจึงเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็วแม้หลังการรักษาทำให้เกิดจุดรอยแผลเป็น?
คำตอบคือการกดสิวเป็นการสนองความรู้สึกลึกๆของคนเป็นสิวทุกคนที่อยากแกะ แคะให้สิวหลุดออกไป

ดังนั้นเมื่อมีการรักษาสิวโดยอาศัยหลักการเหมือนการแกะสิวยิ่งทำให้คนไข้มีความรู้สึกชอบใจในการรักษาเป็นอย่างมาก

FACT:
การแต้มน้ำกรด (TCA) เพื่อการหลุดลอกของหัวสิวนั้นน่าจะเป็นการทำให้หัวสิวหักหรือหลุดออกมาเพียงบางส่วนเท่านั้น
การกดสิวไม่เพียงแต่ทำให้โพรงขนเสียหายอาจทำให้เกิดการติดเชื้อหรือการอักเสบของสิวมากขึ้น

:: Share This ::