fbpx

Smoothbeam คือเลเซอร์รักษาโรคอะไร

SmoothBeam คือเลเซอร์รักษาโรคอะไร??
Smoothbeam เป็นเลเซอร์ ไม่ใช่ IPL ดังนั้นพลังงานจากแสงเลเซอร์ย่อมจะสูงกว่า IPL อยู่แล้วโดยหลักวิทยาศาสตร์
Smoothbeam เป็นเลเซอร์ที่ให้กำเนิดพลังงานคลื่นแสงที่ความยาวคลื่น 1450 nm ซึ่งความยาวช่วงคลื่นนี้จะถูกดูดซึมได้ดีโดยไขมัน และ น้ำ ใต้ผิวหนัง ทำให้โรคที่มีส่วนประกอบของไขมัน และน้ำ จะถูกรักษาได้ด้วย เลเซอร์ Smoothbeam
โรคที่เกี่ยวกับไขมัน และ น้ำ ได้แก่ สิวอุดตัน สิวอักเสบ ต่อมไขมันใต้ผิวหนัง
ดังนั้นเลเซอร์ Smoothbeam จะรักษาสิวอุดตันและสิวอักเสบได้ดี และยังช่วยในการลดหน้ามันได้ดี

SmoothBeam ทดแทนการกดสิวและฉีดสิวได้ดี เป็นที่ทราบกันว่าการฉีดสิวนั้นคือการฉีดสารสเตียรอยด์เข้าใต้ผิวหนังให้สิวยุบอย่างรวดเร็ว แต่ในระยะยาวแล้วสร้างผลเสียมากกว่าผลดี การกดสิวก็เช่นกันทำให้ผิวและรูขุมขนบอบช้ำ ดังนั้น SVJ clinic เรามีปณิธานที่จะรักษาสิวและผิวให้แข็งแรงโดยปราศจากการใช้สเตียรอยด์ เราจึงเป็นคลินิกแห่งแรกในประเทศไทยที่นำเลเซอร์มารักษาสิวเพื่อทดแทนการใช้สเตียรอยด์ในการรักษาสิว

การใช้เลเซอร์ SmoothBeam จะช่วยทำให้สิวอุดตันค่อยๆ ยุบหายไปเองโดยที่ไม่ต้องกดสิวออก ไม่เหมือนความเชื่อเก่าๆ
ที่สิวอุดตันจะหายต้องกดอย่างเดียว

SVJ clinic เราดูแลคนไข้มานานกว่า 10 ปี เป็นผู้นำในการทำเลเซอร์อย่างแท้จริง โดยมีปรัชญาที่ไม่เหมือนใครในการไม่ใช้
สเตียรอยด์ในการรักษาคนไข้ และยังมุ่งเน้นในการรักษาผิวให้แข็งแรงควบคู่กันไปด้วยเสมอ การรักษาทุกเรื่องตั้งอยู่ในจริยธรรม
อันดีของการแพทย์ ดังนั้นสบายใจได้เมื่อมารักษาหรือปรึกษาเรา
Our Difference make us Excellent

นพ. วิสิฏฐ ศรีสนิท
SVJ Clinic

 

:: Share This ::

ไม่กดสิวอุดตันได้รึเปล่า

ถามว่าคนไข้หมอไม่ชอบสิวรูปแบบไหนมากที่สุด คำตอบคือ สิวอุดตันครับ ทำไมถึงไม่ชอบก็เพราะเวลาเป็นสิวอุดตัน
ก็จะต้องโดนกดสิว พอพูดถึงการกดสิวก็ทำให้นึกถึง ความเจ็บระหว่างการกด การเป็นรอยแดงที่หายยาก การเป็นหลุมตามมา หรือถ้ากดไม่ดีวันรุ่งขึ้นก็กลายเป็นสิวอักเสบ หมอจึงไม่เลือกการรักษาสิวอุดตันโดยการกดออก แต่ใช้เลเซอร์ SmoothBeam แทน  โดยช่วงคลื่นของ Smoothbeam จะไปทำให้ต่อมไขมันและหัวสิวค่อยๆฝ่อลงโดยไม่ทำอันตรายกับผิวหนังรอบข้าง และยังทำให้ลดการทำงานของต่อมไขมันด้วย หน้าก็จะมันน้อยลง การเกิดสิวน้อยลง เหมือนการกินยา Roaccutane แต่ไม่ต้องกินยา หมอจึงเรียกเลเซอร์ smoothbeam ว่า Accutane Laser

ข้อดีต่อไปของเลเซอร์ SmoothBeam คือ

  • ช่วงคลื่น 1450 nm สามารถกระตุ้นรอยหลุมสิวได้ดีรองจาก fraxel laser ดังนั้นจึงเป็นประโยชน์สองต่อ
    ในการทำเลเซอร์ smoothbeam ทั้งช่วยในการรักษาสิวและรอยหลุมสิว
  • เนื่องจาก Smoothbeam เลเซอร์ เป็นเลเซอร์ในกลุ่ม Non-Ablative ทำให้หลังการรักษาไม่เกิดสะเก็ดแผล สามารถกลับไปทำงานได้เลย

ในแง่วิชาการมีงานวิจัยยืนยันผลดีของการรักษาสิวด้วยเลเซอร์ SmoothBeam มากมาย โดยสามารถสืบค้นง่ายๆจาก google.com พิมพ์คำว่า Smoothbeam ก็จะพบเรื่องราวไม่น้อยกว่า 63,000 search

ดังนั้นจากคำถามที่เป็นที่มาของบทความนี้ว่า “ไม่กดสิวอุดตันได้รึเปล่า”  คำตอบคือได้แน่นอนครับ และหมอมี tip ง่ายๆมาฝากในเรื่องของการป้องกันสิวอุดตัน คือการล้างหน้าให้ถูกวิธีตามแนวขนดังรูปต่อไปนี้ครับ

นพ. วิสิฏฐ ศรีสนิท
Director of SVJ Laser Clinic

:: Share This ::

Smooth Beam เลเซอร์เพื่อการรักษาสิว

เดือน ก ค. 49 ที่ผ่านมา มีรายงานวิชาการตีพิมพ์ในวารสารแพทย์ผิวหนังสหรัฐอเมริกา (Journal of American Academy in Dermatology หน้า 80-87 ) เป็นงานวิจัยเกี่ยวกับการใช้แสงเลเซอร์ 1450 mm diode (SmoothBeam ) มารักษาสิวอักเสบ โดยทดลองยิงเลเซอร์ทั่วใบหน้า ของอาสาสมัคร 20 คน ทั้งหมด 3ครั้ง ห่างกันครั้งละ 3-4 สัปดาห์
ผลการวิจัยพบว่า จำนวนสิวลดลง 70.6-75.1% หลังการรักษา 3 ครั้ง และยังคงผลการรักษานี้ไปอีก 1 ปีหลังการรักษา ทั้งยังทำให้รอยแผลเป็นจากสิวดีขึ้น ความมันบนใบหน้าลดลง

“ผลจากงานวิจัยฉบับนี้นำไปสู่ทางเลือกในการรักษาสิวอักเสบ รอยแผลเป็นจากสิว ที่สะดวก ปลอดภัย เหมาะสำหรับคนไข้ที่ไม่ต้องการความยุ่งยากในการทายา กลัวผลข้างเคียงของยารับประทาน หรือกลุ่มคนไข้ที่มีข้อห้าม ในการใช้ยา เช่น ผู้มีปัญหาโรคตับ แพ้ยา เป็นต้น”

ในด้านความปลอดภัย เลเซอร์ 1450 mm diode เป็นเลเซอร์ในกลุ่มที่ไม่ทำให้เกิดสะเก็ดแผล (Non-ablative Laser) ภายหลังการทำเลเซอร์สามารถประกอบกิจวัตรประจำวัน เช่น ล้างหน้า แต่งหน้าได้ตามปกติ

ส่วนการทำเลเซอร์ 1450 mm diode จะทำให้เพิ่มอัตราเสี่ยงของมะเร็งผิวหนัง หรือไม่นั้น คำตอบคือ เลเซอร์ 1450 mm diode เป็นแสงในช่วงคลื่นอินฟาเรดไม่ก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนัง ยืนยันได้จากคณะแพทย์ที่ทำการวิจัยนี้อยู่ที่ M.D. Andersan cancer center ซึ่งเป็นสถาบันรักษาโรคมะเร็งชั้นนำของประเทศสหรัฐอเมริกา ตอกย้ำถึงความปลอดภัยของเลเซอร์ 1450 mm Diode

:: Share This ::

การติด Steriod แบบไม่รู้ตัว

ปัญหาเรื่องการแอบใส่ สาร steroid ในครีมต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้ครีมเหล่านั้นในการป้องกันและลดอาการอักเสบ การระคายเคืองโดยไม่ได้คำนึงถึงผลข้างเคียงที่จะตามมา นั้นไม่ ใช่เป็นปัญหาที่น่ากังวลเฉพาะในเมืองไทยเท่านั้น

มีรายงานตั้งแต่ปี 1999 ในวารสาร British Medical Journal เล่มที่ 318 หน้า 563-564 โดยทีมแพทย์ผิวหนังของ มหาวิทยาลัยแพทย์ King College แห่งกรุงลอนดอน ประเทศ อังกฤษ นำโดย E M. Higgins ว่า ครีมที่อ้างว่าเป็น สมุนไพรจากจีนที่มีประสิทธิภาพในการรักษาการอักเสบของผิวหนังต่างๆนั้น ส่วนใหญ่มีการผสมสาร steroid ทั้งนี้ทีมวิจัยได้เก็บตัวอย่างครีมมาทั้งหมด 11 ชนิด จากผู้ป่วยโดยตรง เทคนิคที่ใช้ในการตรวจสอบนั้น ได้ ใช้ เทคนิคที่เรียกว่า high resolution gas chromatography and mass spectrometry

ผลจากการตรวจสอบพบว่า 8 ใน 11 ครีมมีส่วนผสมของ Dexamethasone ( สาร steroid ที่รุนแรงชนิดหนึ่ง) กว่า 500 ไมโครกรัมจาก เนื้อครีม 1 กรัม ทีมวิจัยจึงสรุปให้มีการเสนอการควบคุมที่เข็มงวดกับสารสมุนไพรจากจีนที่นำเข้า มาขายในอังกฤษ ความแรงของส่วนผสมที่พบนี้มีค่าเท่ากับการใช้สาร steroid เช่น 0.05% betamethasone valeate ซึ่งสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไปที่มีการควบคุมโดยเภสัชกร

ไม่เพียงแต่เท่านี้ ในปี 2003 กลุ่มแพทย์ชาวอังกฤษ อีกกลุ่มหนึ่ง ของโรงพยาบาล Birmingham Children’s Hospital ก็ได้รายงานความเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องการใช้สาร steroid ในผู้ป่วยเด็กเพราะจากตัวอย่างครีมที่ได้มาจากผู้ป่วยระหว่างปี 2002-2003 ทั้งหมด 24 ตัวอย่างของครีมที่อ้างว่าเป็นครีมสมุนไพรนั้น เมื่อทำการตรวจวัดด้วยเทคนิค HPLC พบว่ามีสาร steroid ในครีมทั้งหมด 20 ชนิด โดยมีสาร steroid จำพวก clobetasol propionate , betamethasone valerate, clobetasone butyrate และ hydrocortisone ในบางรายมีความเข็มข้นถึง 20% ทั้งนี้ผู้ป่วยที่ได้รับสาร steroid โดยไม่รู้ตัวนี้มีอายุเฉลี่ยตั้งแต่ 0.69 ถึง 7.98 ปี ผู้รายงานสรุปว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบความควบคุมดูแล และประชาสัมพันธ์อย่างทั่วถึงให้ประชาชนทราบถึงความเห็นแก่ตัวโดยไม่คำนึงถึงผลร้ายที่จะเกิดกับผู้บริโภคของผู้ผลิตครีมเหล่านี้

รายงานทั้ง 2 ฉบับนี้บ่งบอกถึงความรับผิดชอบต่อสังคมของแพทย์ที่มีจริยธรรม เพราะเป็นการวิจัยและรายงานจากทีมแพทย์ที่ไม่ได้มีหน้าที่โดยตรง

ทางนีตนาทคลินิกก็เป็นกังวลกับเรื่องนี้มากเช่นเดียวกันเพราะมีข้อมูลเบื้องต้นบ่งชี้ว่าครีมรักษาสิว ฝ้าที่ประชาชนได้รับมาไม่ว่าจากแพทย์ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ผิวหนัง แพทย์ผิวพรรณ คนขายครีมทั่วไป น่าจะมีสาร steroid เจือปนมากชนิดเช่เดียวกัน

การติดตั้งเครื่อง HPLC เพื่อการตรวจวัดสาร steroid นั้นต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายกว่า 8 ล้านบาท เป็นค่าเครื่อง ค่า ห้องปฏิบัติการ ค่าน้ำยาตรวจวิเคราะห์ และค่าจ้างนักวิทยาศาสตร์ประจำห้องปฏิบัติการ หาก หน่วยงานที่รับผิดชอบลงมาเก็บยาทาสิว ฝ้าเหล่านี้มาวิเคราะห์ก็จะดีไม่น้อย สถาบันโรคผิวหนังหรือภาควิชาตจวิทยาก็น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง หาก ไม่มีใครทำ นีตนาทคลินิกคงจะยอมลงทุนติดตั้ง ระบบวัดนี้เองในไม่ช้านี้ เพื่อประโยชน์อะไรหรือครับ ก็เพื่อตอบแทนบุญคุณอาจารย์ที่ประสิทธิประสาทวิชาผิวหนังให้มา เพื่อก่อประโยชน์ให้ส่วนรวม ไม่เช่นนั้นก็ภือเป็นการอกตัญญูต่อครูบาอาจารย์และวิชาชีพที่เรียนมานั่นเอง

ทีมวิชาการ นีตนาทคลินิก 2007

:: Share This ::

ผลข้างเคียงของสเตียรอยด์ในการรักษาสิว

ในปัจจุบันมีการใช้ยาสเตียรอยด์เพิ่มขึ้นอย่างมากเนื่องจากสเตียรอยด์มีคุณสมบัติในการลดการอักเสบ โรคผิวหนังมากกว่า 50% ต้องใช้ยาสเตียรอยด์ร่วมในการรักษาและในปัจจุบันในการรักษาสิวซึ่งเป็นโรคผิวหนังที่พบบ่อยที่สุด ได้มีการนำสารสเตียรอยด์มาใช้อย่างพร่ำเพรื่อมากขึ้นเป็นอย่างมาก ทั้งพบอยู่ในรูปของยาฉีดสิว ยาทาแก้สิวผด ครีมขี้ผึ้ง ยาโลชั่น ซึ่งการใช้สเตียรอยด์ติดต่อกันนี้เองทำให้มีปัญหาผลข้างเคียงของยาตามมา ซึ่งในบทความนี้จะแจกแจงถึงผลข้างเคียงของการใช้ยาสเตียรอยด์

ผลข้างเคียงของสเตียรอยด์

1. เกิดอาการผิวหน้าบาง หลังการใช้ยาสเตียรอยด์ 2-4 สัปดาห์ฤทธิ์ยาจะทำให้ผิวหนังเกิดการบางตัวยาจะทำให้กระบวนการสร้างคอลลาเจนเสียไป ผลที่สังเกตได้คือ เกิดรอยแตก รอยแยกบนผิวหนัง

2. เส้นเลือดใต้ผิวหนังผิดปกติทำให้มีอาการหน้าแดงอยู่ตลอดเวลา

3. ผิวหนังจะมีสีจางลงหากใช้เป็นเวลานานทำให้เกิดเกิดด่างขาว

4. เกิดรอยบุ๋มของผิวหนัง (ส่วนมากเกิดจากการฉีดสิว )

5. เกิดสิวผด

6. หากใช้ยาเป็นเวลานานจะเกิดการติดยาสเตียรอยด์ ( Steroid Addict ) เมื่อหยุดยาหน้าจะแดงมีสิวผดเกิดขึ้น ปัญหานี้พบบ่อยมากในปัจจุบันเนื่องจากมีการใช้สเตียรอยด์เกินความจำเป็น

ทาง SVJ Clinic ได้ติดตามปัญหาหน้าติดสเตียรอยด์มาอย่างใกล้ชิด หากกังวลว่ามีปัญหาติดสเตียรอยด์หรือไม่ลองนึกว่าคุณมีครีมตัวหนึ่งเมื่อหยุดใช้แล้วทำให้มีสิวผดเกิดขึ้นทำให้ไม่สามารถเลิกครีมได้ ให้สงสัยได้ว่าครีมนี้อาจมีส่วนผสมของสเตียรอยด์
เรามีแนวทางที่หลีกเลี่ยงการใช้ยาสเตียรอยด์ คนไข้ของเราทุกคนมั่นใจได้ว่าคุณจะไม่ติดสเตียรอยด์ที่SVJ Clinic อย่างแน่นนอน

ทีมงานวิชาการ SVJ

บทความโดย

นพ.วิสิฏฐ ศรีสนิท
แพทย์ศาสตร์ รามาธิบดี
Dlploma in Dermatology (Institue of Dermatology BKK)

:: Share This ::

ทำไมถึงชอบกดสิว

การมีเม็ดสิวขึ้นมาบนใบหน้าเป็นสิ่งที่วัยรุ่นทุกคนไม่อยากให้มี ถ้ามีก็จะพยายามกำจัดมันให้เร็วที่สุดดั่งจะเห็นได้จากการบีบ แคะ แกะสิวเพื่อทำให้หัวสิวหลุดออกมาโดยหารู้ไม่ว่าการกระทำเหล่านี้ทำให้โพรงขนเกิดความเสียหายทำให้เกิดรอยแผลเป็นตามมา

ต่อมามีการคิดค้นวิธีการรักษาสิวด้วยวิธีกดสิวโดยใช้เครื่องมือกดสิว น้ำกรดแต้มสิว การใช้เข็มเปิดรูขุมขนแล้วใช้เครื่องมือกดสิวตาม วิธีการนี้เป็นที่นิยมอย่างรวดเร็วทำให้มีการผลิตเครื่องมือกดสิวออกมาเป็นจำนวนมากมายหลายรูปแบบในปัจจุบันสามารถหาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป แม้แต่แพทย์เองก็ยังนำการกดสิวมาเป็นแม่แบบในการรักษาสิว จึงมีคำถามว่าโพรงขนบนใบหน้ามีประมาณ 100,000 โพรงหากจะกดสิวเพื่อการรักษาสิวต้องกดสิวถึง 100,000 ครั้งหรือไม่

ทำไมการกดสิวจึงเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็วแม้หลังการรักษาทำให้เกิดจุดรอยแผลเป็น?
คำตอบคือการกดสิวเป็นการสนองความรู้สึกลึกๆของคนเป็นสิวทุกคนที่อยากแกะ แคะให้สิวหลุดออกไป

ดังนั้นเมื่อมีการรักษาสิวโดยอาศัยหลักการเหมือนการแกะสิวยิ่งทำให้คนไข้มีความรู้สึกชอบใจในการรักษาเป็นอย่างมาก

FACT:
การแต้มน้ำกรด (TCA) เพื่อการหลุดลอกของหัวสิวนั้นน่าจะเป็นการทำให้หัวสิวหักหรือหลุดออกมาเพียงบางส่วนเท่านั้น
การกดสิวไม่เพียงแต่ทำให้โพรงขนเสียหายอาจทำให้เกิดการติดเชื้อหรือการอักเสบของสิวมากขึ้น

:: Share This ::