fbpx

ผิวหนังในช่วงตั้งครรภ์

ในช่วงเวลาตั้งครรภ์ร่างกายคุณแม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมากเพื่อเตรียม รับขวัญลูกน้อยที่อยู่ในท้องคุณแม่ ผิวหนังก็มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกันโดยสรุปได้ดังนี้

1. สีผิวเข้มขึ้น อันเนื่องจากระดับฮอร์โมนทำให้สีผิวเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะบริเวณ รอบหัวนม ท้อง รักแร้ คอ อาการเหล่นนี้คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงครับจะหายเองหลังคลอด

2. หลอดเลือดขยายตัว ถ้าเป็นที่ผิวหนังก็จะมีลักษณะของเส้นเลือดขอด แต่ถ้าเป็นที่ก้นก็จะพบว่าเป็นริดสีดวง ซึ่งปัญหาเหล่านี้จะดีขึ้นภายหลังการคลอด การพิจารณารักษาก็จะรักษาตามอาการในขณะตั้งครรภ์

3. หลอดเลือดเปราะ คุณแม่อาจมีอาการเลือดกำเดาออกง่าย แปรงฟันแล้วมีเลือดออกตามไรฟัน หากมีปัญหาเหล่านี้ไม่ต้องตกใจครับเพราะจะหายเองได้ภายหลังการคลอด

4. ตกขาวผิดปกติ หากไม่มีอาการคัน ไม่ต้องกังวลครับเพราะเป็นผลจากระดับฮอร์โมนนั่นเอง และจะหายได้เองภายหลังการคลอด

เรา จะเห็นว่าปัญหา4ข้อดังกล่าวเป็นปัญหาที่สามารถหายเองได้หลังคลอด แต่ปัญหาต่อไปจากนี้จะเรื่องที่ไม่หายภายหลังการตั้งครรภ์ครับ คุณแม่ที่มีปัญหาเหล่านี้ควรปรึกษาแพทย์หากมีอาการ

5. ผมร่วงหลังคลอด เนื่องจากระดับฮอร์โมนลดลงหลังการคลอด ทำให้เส้นผมหยุดการเจริญเติบโตพร้อมๆกัน ประกอบกับหลังคลอดลูกคุณแม่มือใหม่อาจมีภาวะเครียดและขาดสารอาหาร เนื่องจากต้องเลี้ยงดูลูก ทำให้เกิดผมร่วงผิดปกติภายหลังการคลอดได้ส่วนใหญ่จะพบในระยะ 3-6 เดือนหลังคลอดแต่ถ้าเลยกว่า 6 เดือนแล้วเส้นผมยังไม่หยุดร่วงควรปรึกษาแพทย์เพื่อการรักษาแต่เนิ่นๆ ตามประสบการณ์ของหมอหากยิ่งทิ้งไว้นานเส้นผมขาดการดูแล เมื่อมาทำการ test ด้วย DIHAM Lab ถ้าพบว่าขนาดเส้นผมเล็กกว่า 50 ไมครอน และจำนวนเส้นผมน้อยกว่า 35 เส้นต่อ 25 ตารางมิลลิเมตร ควรรีบปรึกษาปัญหาผมร่วง
6. หน้าท้องลาย ปัญหานี้พบบ่อยที่สุดและเป็นปัญหาที่คุณแม่ไม่อยากมีที่สุด หน้าท้องลายเกิดจากการขยายตัวของผิวหนัง ทำให้เส้นใยคอลลาเจนและอีลาสตินถูกทำลาย รวมทั้งมีการเสียการทำงานของหลอดเลือดใต้ผิวหนัง ในอดีตการใช้ครีมทาในกลุ่มวิตามินเอ AHA ยังให้ผลได้ไม่ดีนัก ในปัจจุบันมีการนำเลเซอร์เข้ามาใช้ในการรักษาซึ่งให้ผล ตามประสบการณ์ของหมอหากทำเลเซอร์ Vbeamร่วมกับFraxel จะได้ผลดีที่สุด
7. หน้าท้องหย่อนคล้อย เกิดจากผิวหนังที่ถูกยืดออก การออกกำลังกายจะช่วยทำให้ผิวหนังกระชับมากขึ้น แต่ในคนไข้บางคนที่น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมากระหว่างการตั้งครรภ์ การออกกำลังกายเพียงอย่างเดียวยังไม่พอ ปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยี RF ที่เรียกว่า Thermage มาช่วยในการยกกระชับผิวหนังส่วนนี้ ซึ่งได้ผลดี
8. สิว คน โบราณมักบอกว่าถ้าได้ลูกชายผิวแม่อาจหมองคล้ำมีสิว ถ้าได้ลูกสาวผิวแม่จะผ่องใส สิวในช่วงการตั้งครรภ์เป็นปัญหาใหญ่จริงๆครับเพราะการรักษาสิวส่วนใหญ่มัก ต้องใช้ยา ซึ่งยาที่ห้ามใช้ระหว่างการตั้งครรภ์ได้แก่ วิตามินเอ ยาฆ่าเชื้อต่างๆ หมอเองเมื่อมีคนไข้ที่เป็นสิวมาปรึกษาระหว่างการตั้งครรภ์ในสมัยก่อนลำบากใน การรักษามากแต่ตอนนี้สบายมากครับมีการใช้เลเซอร์มารักษาสิวโดยไม่เป็น อันตรายต่อทารกในครรภ์ครับและได้ผลดีด้วย แต่ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์เท่านั้นนะครับ

จะเห็นได้ว่าภาวะการตั้งครรภ์ก็ทำให้ผิวหนังเกิดการเปลี่ยนแปลงได้นะครับ หมอเขียนบทความนี้ก็เพื่ออยากให้คุณแม่ทุกท่านมีผิวสวยตลอดและหลังการตั้ง ครรภ์ครับ เนื่องจากหมอก็เป็นคุณพ่อมือใหม่เหมือนกัน ขอให้คุณพ่อและคุณแม่ทุกท่านมีความสุขในการเห็นพัฒนาการและความสวยงามของลูกๆนะครับ
นพ. วิสิฏฐ ศรีสนิท
พบ.รามาธิบดี
Diploma in Dermatology สถาบันโรคผิวหนัง

:: Share This ::

Smooth Beam เลเซอร์เพื่อการรักษาสิว

เดือน ก ค. 49 ที่ผ่านมา มีรายงานวิชาการตีพิมพ์ในวารสารแพทย์ผิวหนังสหรัฐอเมริกา (Journal of American Academy in Dermatology หน้า 80-87 ) เป็นงานวิจัยเกี่ยวกับการใช้แสงเลเซอร์ 1450 mm diode (SmoothBeam ) มารักษาสิวอักเสบ โดยทดลองยิงเลเซอร์ทั่วใบหน้า ของอาสาสมัคร 20 คน ทั้งหมด 3ครั้ง ห่างกันครั้งละ 3-4 สัปดาห์
ผลการวิจัยพบว่า จำนวนสิวลดลง 70.6-75.1% หลังการรักษา 3 ครั้ง และยังคงผลการรักษานี้ไปอีก 1 ปีหลังการรักษา ทั้งยังทำให้รอยแผลเป็นจากสิวดีขึ้น ความมันบนใบหน้าลดลง

“ผลจากงานวิจัยฉบับนี้นำไปสู่ทางเลือกในการรักษาสิวอักเสบ รอยแผลเป็นจากสิว ที่สะดวก ปลอดภัย เหมาะสำหรับคนไข้ที่ไม่ต้องการความยุ่งยากในการทายา กลัวผลข้างเคียงของยารับประทาน หรือกลุ่มคนไข้ที่มีข้อห้าม ในการใช้ยา เช่น ผู้มีปัญหาโรคตับ แพ้ยา เป็นต้น”

ในด้านความปลอดภัย เลเซอร์ 1450 mm diode เป็นเลเซอร์ในกลุ่มที่ไม่ทำให้เกิดสะเก็ดแผล (Non-ablative Laser) ภายหลังการทำเลเซอร์สามารถประกอบกิจวัตรประจำวัน เช่น ล้างหน้า แต่งหน้าได้ตามปกติ

ส่วนการทำเลเซอร์ 1450 mm diode จะทำให้เพิ่มอัตราเสี่ยงของมะเร็งผิวหนัง หรือไม่นั้น คำตอบคือ เลเซอร์ 1450 mm diode เป็นแสงในช่วงคลื่นอินฟาเรดไม่ก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนัง ยืนยันได้จากคณะแพทย์ที่ทำการวิจัยนี้อยู่ที่ M.D. Andersan cancer center ซึ่งเป็นสถาบันรักษาโรคมะเร็งชั้นนำของประเทศสหรัฐอเมริกา ตอกย้ำถึงความปลอดภัยของเลเซอร์ 1450 mm Diode

:: Share This ::

รักษาสิวสไตล์ SVJ

“หลังจากศูนย์เลเซอร์ SVJ ได้เปิดทำการรักษาคนไข้มาครบ 7 เดือน ภายใต้แนวทางการรักษาสิวด้วยเลเซอร์ ซึ่งเรามีจุดมุ่งหมายที่จะทำให้สิว หายโดยปราศจากรอยแผลเป็น หรือในผู้ป่วยที่มีรอยแผลเป็นอยู่แล้วรอยนั้นจะดีขึ้นเมื่อรับการรักษาจากเรา”

SVJ เป็นผู้นำในการรักษาสิวด้วยเลเซอร์ SmoothBeam, Vbeam โดยคลินิกนี้ไม่มีการใช้ยาสเตียรอยด์ ไม่ฉีด ไม่กดสิว จึงทำให้ไม่เกิดรอยแผลเป็น ไม่มีการติดยารักษาสิว ส่วนในเรื่องของรอยแผลเป็นเราเป็นคลินิกที่ได้นำเทคโนโลยี Dermaroller นำมารักษาร่วมกับการทำเลเซอร์ทำให้รอยแผลเป็นดีขึ้นมากกว่า 60% ซึ่งนับได้ว่าเป็นผลการรักษาที่ดีที่สุดในปัจจุบัน

ขณะนี้เราพยายามนำเลเซอร์ที่มีมาตรฐานสูงสุดในแต่ละเรื่องมาคอยบริการคนไข้ของเรา ล่าสุดคือ เลเซอร์ GentleYAG เป็นเลเซอร์ที่ใช้ได้ดีที่สุดในการกำจัดขนเส้นเลือดขอด หรือแม้แต่การยกกระชับใบหน้าและหน้าท้องเป็นอีกหนึ่งในงานบริการของเรา ( เราเป็นแพทย์กลุ่มแรกที่นำเครื่องเลเซอร์ GentleYAG มาใช้ในประเทศไทย)

[embedyt] https://www.youtube.com/watch?v=WvpSvClTL7A[/embedyt]

ในช่วงปีใหม่นี้ทาง SVJ มี package สำหรับการรักษาสิวและรอยแผลเป็นด้วยเลเซอร์ & Dermaroller

Dermaroller 3 ครั้ง เข็ม MF-8 1 อัน + Laser Vbeam หรือ SmoothBeam fullface 1 ครั้ง 20,000 บาท
Dermaroller 6 ครั้ง เข็ม MF-8 2 อัน + Laser Vbeam หรือ SmoothBeam fullface 1 ครั้ง 35,000 บาท

:: Share This ::

การติด Steriod แบบไม่รู้ตัว

ปัญหาเรื่องการแอบใส่ สาร steroid ในครีมต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการใช้ครีมเหล่านั้นในการป้องกันและลดอาการอักเสบ การระคายเคืองโดยไม่ได้คำนึงถึงผลข้างเคียงที่จะตามมา นั้นไม่ ใช่เป็นปัญหาที่น่ากังวลเฉพาะในเมืองไทยเท่านั้น

มีรายงานตั้งแต่ปี 1999 ในวารสาร British Medical Journal เล่มที่ 318 หน้า 563-564 โดยทีมแพทย์ผิวหนังของ มหาวิทยาลัยแพทย์ King College แห่งกรุงลอนดอน ประเทศ อังกฤษ นำโดย E M. Higgins ว่า ครีมที่อ้างว่าเป็น สมุนไพรจากจีนที่มีประสิทธิภาพในการรักษาการอักเสบของผิวหนังต่างๆนั้น ส่วนใหญ่มีการผสมสาร steroid ทั้งนี้ทีมวิจัยได้เก็บตัวอย่างครีมมาทั้งหมด 11 ชนิด จากผู้ป่วยโดยตรง เทคนิคที่ใช้ในการตรวจสอบนั้น ได้ ใช้ เทคนิคที่เรียกว่า high resolution gas chromatography and mass spectrometry

ผลจากการตรวจสอบพบว่า 8 ใน 11 ครีมมีส่วนผสมของ Dexamethasone ( สาร steroid ที่รุนแรงชนิดหนึ่ง) กว่า 500 ไมโครกรัมจาก เนื้อครีม 1 กรัม ทีมวิจัยจึงสรุปให้มีการเสนอการควบคุมที่เข็มงวดกับสารสมุนไพรจากจีนที่นำเข้า มาขายในอังกฤษ ความแรงของส่วนผสมที่พบนี้มีค่าเท่ากับการใช้สาร steroid เช่น 0.05% betamethasone valeate ซึ่งสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไปที่มีการควบคุมโดยเภสัชกร

ไม่เพียงแต่เท่านี้ ในปี 2003 กลุ่มแพทย์ชาวอังกฤษ อีกกลุ่มหนึ่ง ของโรงพยาบาล Birmingham Children’s Hospital ก็ได้รายงานความเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องการใช้สาร steroid ในผู้ป่วยเด็กเพราะจากตัวอย่างครีมที่ได้มาจากผู้ป่วยระหว่างปี 2002-2003 ทั้งหมด 24 ตัวอย่างของครีมที่อ้างว่าเป็นครีมสมุนไพรนั้น เมื่อทำการตรวจวัดด้วยเทคนิค HPLC พบว่ามีสาร steroid ในครีมทั้งหมด 20 ชนิด โดยมีสาร steroid จำพวก clobetasol propionate , betamethasone valerate, clobetasone butyrate และ hydrocortisone ในบางรายมีความเข็มข้นถึง 20% ทั้งนี้ผู้ป่วยที่ได้รับสาร steroid โดยไม่รู้ตัวนี้มีอายุเฉลี่ยตั้งแต่ 0.69 ถึง 7.98 ปี ผู้รายงานสรุปว่าหน่วยงานที่รับผิดชอบความควบคุมดูแล และประชาสัมพันธ์อย่างทั่วถึงให้ประชาชนทราบถึงความเห็นแก่ตัวโดยไม่คำนึงถึงผลร้ายที่จะเกิดกับผู้บริโภคของผู้ผลิตครีมเหล่านี้

รายงานทั้ง 2 ฉบับนี้บ่งบอกถึงความรับผิดชอบต่อสังคมของแพทย์ที่มีจริยธรรม เพราะเป็นการวิจัยและรายงานจากทีมแพทย์ที่ไม่ได้มีหน้าที่โดยตรง

ทางนีตนาทคลินิกก็เป็นกังวลกับเรื่องนี้มากเช่นเดียวกันเพราะมีข้อมูลเบื้องต้นบ่งชี้ว่าครีมรักษาสิว ฝ้าที่ประชาชนได้รับมาไม่ว่าจากแพทย์ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ผิวหนัง แพทย์ผิวพรรณ คนขายครีมทั่วไป น่าจะมีสาร steroid เจือปนมากชนิดเช่เดียวกัน

การติดตั้งเครื่อง HPLC เพื่อการตรวจวัดสาร steroid นั้นต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายกว่า 8 ล้านบาท เป็นค่าเครื่อง ค่า ห้องปฏิบัติการ ค่าน้ำยาตรวจวิเคราะห์ และค่าจ้างนักวิทยาศาสตร์ประจำห้องปฏิบัติการ หาก หน่วยงานที่รับผิดชอบลงมาเก็บยาทาสิว ฝ้าเหล่านี้มาวิเคราะห์ก็จะดีไม่น้อย สถาบันโรคผิวหนังหรือภาควิชาตจวิทยาก็น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง หาก ไม่มีใครทำ นีตนาทคลินิกคงจะยอมลงทุนติดตั้ง ระบบวัดนี้เองในไม่ช้านี้ เพื่อประโยชน์อะไรหรือครับ ก็เพื่อตอบแทนบุญคุณอาจารย์ที่ประสิทธิประสาทวิชาผิวหนังให้มา เพื่อก่อประโยชน์ให้ส่วนรวม ไม่เช่นนั้นก็ภือเป็นการอกตัญญูต่อครูบาอาจารย์และวิชาชีพที่เรียนมานั่นเอง

ทีมวิชาการ นีตนาทคลินิก 2007

:: Share This ::

การรักษาหลุมสิว Acne Scar types Demand options

ในบทความฉบับนี้จะกล่าวถึงการรักษารอยหลุมสิวในแนวทาง Semi Ablative กล่าวคือการรักษาที่หลังการทำแล้วผิวหนังชั้นบนจะมีการหลุดลอกและต้องพักหน้า ซึ่งวิธีการเหล่านี้ต้องระมัดระวังในการทำเนื่องจากอาจทำให้หน้าบาง ผิวไม่แข็งแรง รวมทั้งอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการรักษาได้

การรักษาหลุมสิวด้วยการทำให้ใบหน้าเกิดรูเล็กๆ ( micro traumatic )

การรักษาในกลุ่มนี้ได้แก่ Dermaroller Fraxel หลักการคือการใช้เครื่องมือแพทย์ทำให้ผิวหนังเป็นรูเล็กๆหลังจากนั้นผิวหนังจะมีการซ่อมแซมรูต่างๆเหล่านี้มีการสร้างเส้นใยคอลลาเจนใหม่ขึ้นมา ทำให้รอยหลุมนั้นตื้นขึ้นได้ โดยข้อแตกต่างระหว่าง Dermaroller และFraxel คือ Dermaroller ใช้พลังงานกลจากแรงกดของเข็มเล็กๆจากเครื่องมือ ส่วน Fraxel นั้นเป็นการใช้พลังงานแสงเลเซอร์ซึ่งจะทำให้เกิดความร้อนใต้ผิวหนังให้เกิดเป็นรูขนาดเล็ก ซึ่งในปัจจุบันเป็นวิธีการรักษาหลุมสิวที่ได้ผลดีมาก ข้อเสียคือต้องพักหน้า 3-7 วัน

การรักษาโดยการลอกผิวหนังชั้นบน ( Peeling or Dermabrasion )

การรักษาได้แก่ การทำ Chemical Peeling และ การทำ Microdermabrasion วิธีการจะเป็นการลอกผิวหนังชั้นบนด้วยสารเคมี หรือ การใช้พลังงานกลจากเครื่องมือ โดยผลที่ได้คือผิวหนังชั้นบนจะมีการลอกออกและมีการสร้างผิวหนังใหม่เกิดขึ้น ใช้ได้ผลดีกับรอยหลุมตื้นๆ ส่วนข้อเสียคือจะทำให้หน้าบาง

พบกับบทความฉบับหน้าในเรื่องของการทำศัลยกรรมรักษารอยหลุมสิว ( Subcision, Laser Resurfacing, Punch excision )

บทความโดย
นพ.วิสิฏฐ ศรีสนิท
แพทย์ศาสตร์ รามาธิบดี
Dlploma in Dermatology (Institue of Dermatology BKK)

:: Share This ::

รอยแผลเป็นจากสิว รักษาวิธีใดดี

รอยแผลเป็นอันเกิดจากสิวนั้นเป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาของคนทุกๆคน คงไม่มีใครอยากมีใบหน้าขรุขระเหมือนผิวพระจันทร์

รอยหลุมสิวนั้นมีหลายลักษณะ ยกตัวอย่างเช่น รอยแผลเป็นนูนหรือคีรอยด์ รอยหลุมสิวซึ่งสามารถแบ่งรูปแบบได้คือ ขอบชัด ขอบไม่ชัด หลุมลึก หลุมตื้น หลุมกว้าง หลุมแคบ และมีรอยแดงหรือรอยดำร่วมด้วยหรือไม่ บางคนอาจมีหลายปัญหาร่วมกันอยู่เพราะฉะนั้นจึงไม่มีการรักษาวิธีใดดี่ที่สุดสำหรับรอยแผลเป็นจากสิว ต้องใช้การรักษาหลายวิธีร่วมกันจึงมีประสิทธิภาพมากที่สุด

การรักษารอยแผลเป็นในปัจจุบันแบ่งเป็น การรักษาที่ไม่ทำให้เกิดแผล( Non Ablative) การรักษาที่ทำให้เกิดแผลเล็กน้อย ( Semi Ablative) การรักษาที่ทำให้เกิดแผล ( Ablative ) และการทำศัลยกรรม

ในบทความสัปดาห์นี้จะกล่าวถึงการรักษาโดยไม่ทำให้เกิดแผล

Non Ablative technique

1. การใช้แสงเลเซอร์เป็นวิธีที่นิยมที่สุดและมีงานวิจัยมารับรองมากมาย

Vascular Laser 595nm pulsed dye laser ( Vbeam, Candela ) เป็นเลเซอร์ที่ช่วยในการรักษารอยแดง รอยแผลเป็นนูน และช่วยในรอยหลุมได้บางส่วน Dr. Gerald Goldberg University of Arizona กล่าวว่าเลเซอร์ชนิดนี้เหมาะที่สุดสำหรับรอยสิวที่มีสีแดงและบุ๋มเล็กน้อย

Infrared 1450nm diode laser ( Smoothbeam ) เป็นเลเซอร์ที่ช่วยในการรักษาสิวที่กำลังอักเสบและรอยหลุมสิว

Infrared 1320 YAG laser ( Cooltouch3, Sciton, Profile ) เป็นเลเซอร์ที่รักษารอยหลุมสิวแต่ไม่ช่วยในการรักษาสิวอักเสบ

RadioFrequency หรือ RF ( Thermage, Thermacool ) มีรายงานในการนำมาประยุกต์ใช้กับรอยหลุมสิว

แม้ว่าการรักษาหลุมสิวด้วยเลเซอร์ต่างๆในกลุ่มนี้จะไม่ทำให้เกิดแผลหลังทำและได้ผลดีแต่ปัญหาหลุมสิวนั้นยากที่จะฟื้นฟู ดังนั้นการทำเลเซอร์จึงต้องทำอย่างน้อย 4-6 ครั้ง

2. การทำทรีตเมนต์ต่างๆ

จุดมุ่งหมายในการทำทรีตเมนต์คือการใช้ครีมเป็นหลักในการรักษา แต่ปัญหารอยแผลเป็นจากสิวนั้นมีปัญหาในผิวหนังชั้นที่ลึกมากดังนั้นการใช้ครีมจึงไม่สามารถช่วยในปัญหานี้ได้มากแต่จะช่วยในด้านความชุ่มชื่นความสบายของผิวมากกว่า การรักษาทรีตเมนต์ได้แก่ การทำไอออนโต โฟโน นวดหน้า

ในบทความฉบับหน้าจะพูดถึง การรักษาโดย Semi Ablative ( Dermaroller ,Fraxel ,Microdermabrasion ,Chemical Peeling)

บทความโดย
นพ.วิสิฏฐ ศรีสนิท
แพทย์ศาสตร์ รามาธิบดี
Dlploma in Dermatology (Institue of Dermatology BKK)

:: Share This ::