fbpx

ฉีดฟิลเลอร์ โบท้อกซ์ วิธีไหนดี

ว่าด้วยเรื่องของฟิลเลอร์โบท้อกซ์ ฉีดอย่างไรให้สวยที่สุด
หมอแบ่งหลักคิดง่ายๆเกี่ยวกับวิธีฉีดครับ
1. ฉีดให้มากที่สุด ขาดตรงไหนเติมตรงนั้น ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือสวยที่สุด
2. ฉีดให้น้อยที่สุด เอาพอประมาณ ปลอดภัย แต่ไม่สวยที่สุด

คำตอบคงทราบกันดีครับว่าแพทย์และคนไข้ส่วนใหญ่เลือกวิธีที่ 1 แต่จากงานวิจัยต่างๆที่เก็บข้อมูลกันมาเราพบว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์ในการฉีดฟิลเลอร์และโบท้อกซ์คือ ฉีดเยอะเกินไป ยิ่งเป็นฟิลเลอร์ด้วยแล้วบางครั้งผลข้างเคียงแลกกับความสวยได้ไม่คุ้มเสียครับ แต่ที่หมอเขียนอย่างนี้ไม่ได้จะให้คนไข้ไม่สวยจากฟิลเลอร์นะครับแต่อยากให้สวยพอประมาณไม่แข็งดูเป็นธรรมชาติไม่ใช่ทำเสร็จแล้วสวยแต่สวยแบบไม่ใช่ตัวของเราเอง ซึ่งจากประสบการณ์ที่ผมฉีดฟิลเลอร์และโบท้อกซ์มากว่า 10ปี ผมเลือกแบบที่2ครับ ผมสบายใจและคนไข้กลับบ้านไปปลอดภัยครับ

“หลอดเดียวก็สวยได้”
เป็นแนวคิดการฉีดฟิเลอร์ของหมอวิสิฏฐที่จะทำให้คนไข้ประหยัดเงินในการฉีดฟิลเลอร์และมีความปลอดภัยสูงสุดในการฉีด

Filler และ botox ของ SVJ clinic
เราเลือกใช้ฟิลเลอร์ โบท้อกซ์ของแท้ ของบริษัท allergan
ฟิลเลอร์ที่เราใช้คือ juvederm
โบท้อกซที่ใช้คือ botox จาก allergan อเมริกา
ยาทั้งสองชนิดนำเข้าถูกกฎหมายจากบริษัทแม็กซิม ประเทศไทย จำกัด

นพ.วิสิฏฐ ศรีสนิท
SVJ CLINIC

 

 

 

 

 

:: Share This ::

Botox กับความงาม

สัปดาห์ก่อนมีเรื่องราวเกี่ยวกับโบท็อกซ์ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับ เรื่องของเรื่องคือ อดีตดาราภาพยนต์คนหนึ่งได้รับผลข้างเคียงจากการฉีดโบท็อกซ์ที่สถาบันเสริมความงามแห่งหนึ่ง เพื่อลดเลือนริ้วรอยบริเวณรอบดวงตา แต่กลับทำให้หนังตาข้างซ้ายหย่อนผิดปกติ จนกลายเป็นข่าวดังขึ้นหน้าหนึ่งทีเดียว ความจริงในที่นี้คืออะไร?

Botox หรือโบท็อกซ์ เป็นชื่อทางการค้าของ สารโบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ (Botulinum toxin A) จากอเมริกาซึ่งเป็นสารโปรตีนชนิดหนึ่งที่สร้างจากแบคทีเรียชื่อ คลอสตริเดียม โบทูลินั่ม (Clostridium botulinum) อันเป็นสารทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว ลดการหดตัวของกล้ามเนื้อ หากได้รับในปริมาณมากๆ ก็อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้อาจเสียชีวิตได้ ดังนั้นการใช้สารโบท็อกซ์ควรอยู่ในการดูแลจากแพทย์เท่านั้น

ในทางด้านการแพทย์การใช้สารเริ่มมีการทดลองใช้โดยจักษุแพทย์ตั้งแต่ปี 1980 ในการแก้ไขปัญหาหนังตากระตุก ตาเหล่และปัญหาเกี่ยวกับดวงตา และพบว่าการใช้ Botulinum toxin ช่วยแก้ไขปัญหารอยเหี่ยวย่นรอบดวงตาร่วมด้วยโดยbotox กับความงามเริ่มต้นเมื่อปี 1997ในงานวิจัยของ Dr Carruthers A, Carruthers J. (Cosmetic uses of botulinum A exotoxin. Adv Dermatol. 1997;12:325-47; discussion 348 )

ในปัจจุบันการใช้ Botulinum toxin A เพื่อความงามได้รับความนิยมแพร่หลายมาก โดยส่วนใหญ่ใช้ในการแก้ไข
รอยย่นหน้าผาก ระหว่างคิ้ว และ รอยตีนกา เมื่อเป็นที่นิยมมากขึ้น ปัญหาที่ตามมาก็มากขึ้นโดยปัญหาจากการใช้ Botulinum toxin A มีได้ 2 กรณีคือ
1. การใช้สาร Botulinum toxin A ที่ไม่ได้มาตรฐาน click ข้อมูล botox เก่า http://www.svjclinic.com/content.php?cate=article&iden=32
2. เทคนิกการฉีดไม่สมบูรณ์ ยกตัวอย่างในคนเอเซีย กล้ามเนื้อมีความแข็งแรงน้อยกว่าฝรั่งดังนั้นหากใช้เทคนิกการฉีดตามแบบฝรั่งอาจมีปัญหาได้ หมอเคยพูดให้คนขั้งประเด็นนี้อยู่บ่อยๆ

ส่วนกรณีที่เกิดขึ้นในหน้าหนังสือพิมพ์ที่มีการฉีดสารโบทอกซ์แล้วทำให้เกิดหนังตาซ้ายตก ในทางการแพทย์เรียกว่า ptosis of the upper eyelid เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ในการฉีดรักษารอยย่นรอบดวงตาและหน้าผาก พบได้หลัง
การฉีดประมาณ 1-2 สัปดาห์ แต่โชคดีที่อาการนี้จะค่อยๆหายภายใน 1-3 เดือน มีการนำยาหยอดตาที่มีส่วนผสมของ apraclonidine 0.5% มาช่วยจะทำให้อาการทุเลา ตามประสบการณ์ที่หมอทำการรักษาคนไข้ด้วย Botulinum toxin A สำหรับคนไทยที่มีกล้ามเนื้อแตกต่างจากฝรั่งกล่าวคือกล้ามเนื้อคนไทยแข็งแรงน้อยกว่า ดังนั้นเทคนิกการฉีดรวมทั้งการใช้ปริมาณยาจึงต้องแตกต่างกัน การปรับแต่งให้มีการใช้ปริมาณยาน้อยที่สุดเพื่อให้ได้ผลมากที่สุดและมีผลข้างเคียงน้อยที่สุดเป็นศาสตร์ในการใช้สาร Botulinum toxin A

นพ.วิสิฏฐ ศรีสนิท
พบ.รามาธิบดี
Diploma in Dermatology

:: Share This ::

รอบรู้เรื่อง Botox

เหตุที่หมอต้องการเล่าสู่กันฟังในเรื่องของ “Botulinum toxin” หรือ “ โบท็อกซ์” นั้น เนื่องมาจาก คุณป้าแจ่ม เพื่อนบ้านที่หมอรู้จักดีมาปรึกษาเรื่องรอยย่นที่หางตา คำตอบที่คุณป้ามีให้หลังจากที่หมอถามว่า “ เคยฉีดโบท็อกซ์ รึยังคะคุณป้า” ก็คือ “ ป้ายังใหม่อยู่มากในเรื่องพวกนี้นะคะ แล้วป้าก็ไม่อยากฉีดสารพิษเข้าตัวเองหรอกค่ะ มันไม่ปลอดภัย”

หมอไม่ได้แปลกใจหรอกค่ะที่ได้ยินคุณป้าแจ่มพูดเช่นนั้น นั่นก็เพราะทุก ๆ ครั้งที่คนไข้ของหมอเองเดินเข้ามาแล้วพูดอะไรทำนองนั้น หมอเองก็มักจะต้องใช้เวลาพูดคุยกับคนไข้ เพื่อไขข้อสงสัยและให้ข้อมูลที่ถูกต้องเพื่อปรับความเข้าใจกันใหม่ทุกครั้ง

ป้าแจ่มกลัว ก็ด้วยเหตุที่คำว่า ท็อกซิน (toxin) แปลว่าสารพิษ เช่น Aflatoxin อฟลาท็อกซิน คือ พิษที่เชื้อราสร้างขึ้น เช่น ราในถั่วลิสงคั่ว หากรับประทานอาหารที่มีสารนี้เจือปนอยู่ก็จะเกิดเป็นมะเร็งตับได้ เป็นต้น

ในทางกลับกัน Botulinum toxin ไม่ได้ก่อให้เกิดมะเร็งแต่อย่างใด แต่เหตุที่มันมีชื่อว่า “ ท็อกซิน” ก็เพราะ ในยุคโบราณ ก่อนที่จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร มีโรคอาหารเป็นพิษชนิดหนึ่งซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการ ตาลาย หายใจขัดและเสียชีวิตได้ โรคนั้นคือ Botulism ( คำว่าBotulus ภาษากรีก แปลว่าไส้กรอก ค่ะ สันนิษฐานว่าการระบาดครั้งใหญ่ๆ คงเกิดจากรับประทานไส้กรอกบูด เนื่องจากยังไม่มีตู้เย็นช่วยเก็บถนอมอาหารนั่นเอง)

ต่อมาในปี ค.ศ. 1895 ณ ประเทศเบลเยียม ก็ได้มีแพทย์ผู้ตั้งสมมติฐานหาสาเหตุการป่วยของคนไข้ 34 คน หลังจากรับประทานแฮมดิบ และอีกไม่กี่สิบปีหลังจากนั้นก็ได้มีแพทย์ผู้สามารถสกัดเอาสารโปรตีนออกมาจากแบคทีเรียนั้นได้ ซึ่งก็คือ ท็อกซิน ที่ก่อโรคในอดีตนั่นเอง

โปรตีน ตัวนี้มีคุณสมบัติกั้นกระแสประสาทระหว่างเซลล์ประสาทกับกล้ามเนื้อ เพื่อลดการหดตัว ทำให้ริ้วรอยบริเวณนั้นลดลง โดยมิได้ทำลายเส้นประสาทหรือกวนการสร้างสารสื่อประสาทแต่อย่างใด

Botulinum toxin ถูกเริ่มนำมาใช้ในการแพทย์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950 ในระยะแรกเป็นการนำมาใช้เพื่อการรักษาโรคก่อน เช่น ตาเหล่ ตาเข ตากระตุก ต่อมาในปี ค.ศ. 1987 ได้มีการรายงานว่าผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาโรคนี้ มีริ้วรอยบนใบหน้าน้อยลง ทำให้การนำยาตัวนี้มาใช้เพื่อความงามเป็นไปอย่างแพร่หลายมากขึ้น อีกทั้งมีการคิดค้นและพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อให้ได้สารที่บริสุทธิ์ที่สุดสำหรับใช้ทั้งในการรักษาโรค และ เพื่อความงาม โดยปัจจุบันนี้ในสหรัฐอเมริกามีผู้เข้ารับการรักษาด้วยโบท็อกซ์เพื่อความงามกว่าสิบล้านครั้ง

เร็ว ๆ นี้ FDA สหรัฐอเมริกาได้รายงานเกี่ยวกับความปลอดภัยของการใช้ Botulinum toxin type A (Botox) และ type B (Myobloc) ว่าทางองค์การได้รับรายงานเกี่ยวกับผลข้างเคียงจากการใช้ยาทั้งสองชนิดซึ่งคืออาการ Botulism บางรายมีอาการทางเดินหายใจบกพร่อง และถึงแก่ชีวิต พบในกรณีที่ใช้ยาเพื่อรักษาผู้ป่วยเด็ก โรค Cerebral palsy โรคนี้มีอาการกล้ามเนื้อหดเกร็งจากสมองที่ผิดปกติ ต้องใช้ปริมาณยาโบท็อกซ์(Botox ?) มากถึง 6.25 – 32 ยูนิต ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ถ้าในคนที่หนัก 50 กก. ก็จะเป็นตัวยาถึง 312.5-1600 ยูนิตทีเดียว ( หากเป็นการใช้ในเรื่องความสวยงามจะใช้ครั้งละเพียง 20-50 ยูนิตซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับการใช้โบทอกซ์ในการรักษาโรค ) สำหรับอาการข้างเคียงจากยาที่รักษาโรคในผู้ป่วยผู้ใหญ่ยังไม่มีรายใดถึงแก่ชีวิต มีแต่เพียงอาการกลืนยาก และหนังตาตกเท่านั้น

การเตือนในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นหน้าที่ขององค์การซึ่งมีหน้าที่ปกป้องประชาชน มิใช่จะปล่อยให้วัวหายล้อมคอกในภายหลัง และไม่ได้มีวัตถุประสงค์ให้ประชาชนตื่นตระหนกแต่อย่างใด

สำหรับปริมาณโบท็อกซ์ (Botox ) ที่ใช้เพื่อความงามเรามักใช้ไม่เกิน 50 ยูนิตในแต่ละครั้งค่ะ ซึ่งเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับปริมาณที่ใช้เพื่อการรักษาโรคบางโรค ดังนั้นคนรักสวยรักงามก็สบายใจได้เลยค่ะสงสัยจะอธิบายมาพอสมควรแล้วเพราะหมอเหลือบไปเห็นป้าแจ่มนั่งอ้าปากหวอ ตาปรืออยู่ตรงหน้า แล้วก็พูดว่า “ ฉีดเลยวันนี้ได้ไหมค่ะคุณหมอ ?”

การใช้สารโบทูลินัม ทอกซิน เอ ( Botulinum toxin type A ) กันอย่างแพร่หลาย สารชนิดนี้ในประเทศไทยที่ผ่านการรับรองความปลอดภัยจาก อย. ไทย คือ ยี่ห้อ Botox จากบริษัท Allergan อเมริกาเป็นยี่ห้อที่นิยมใช้กันมากและนานที่สุด ปลอดภัย อีกยี่ห้อคือ Dysport จากอังกฤษ ปัจจุบันมีการลักลอบนำสารโบทูลินัม ทอกซิน เอ ( Botulinum toxin type A ) จากประเทศจีนและเกาหลีซึ่งมีราคาถูกกว่าสารต้นแบบBotox ? มาฉีดให้กับคนไทยเป็นจำนวนมาก จึงควรสอบถามแพทย์ทุกครั้งก่อนการฉีด ส่วนนีตนาทคลินิก และ เอสวีเจเลเซอร์คลินิก ไม่มีนโยบายนำสารที่ไม่ผ่านการรับรองจาก อย. มาใช้ จึงมั่นใจได้ว่าทุกครั้งที่ฉีดสารโบทูลินัม ทอกซิน เอ ( Botulinum toxin type A ) กับทางคลินิกเป็นของแท้จากบริษัท Allergan เท่านั้น

:: Share This ::

การปรับรูปหน้าให้เรียวด้วย BOTOX

ผู้ที่มีปัญหาโครงหน้าเหลี่ยมจะมีลักษณะกล้ามเนื้อบริเวณขากรรไกรที่ใหญ่กว่าปกติ กล้ามเนื้อชนิดนี้มีชื่อว่า “Masseter” มักพบในคนที่นอนกัดฟัน สบฟันไม่สนิท หรือการเคี้ยวอาหารที่มีความเหนียวอย่างปลาหมึก หรือหมากฝรั่งมาก ๆ ก็เป็นสาเหตุทำให้กล้ามเนื้อบริเวณมุมกรามหรือขากรรไกรมีการพัฒนาให้หนานูนมากกว่าปกติ หรือบางรายอาจเป็นโดยกำเนิด เมื่อสังเกตบริเวณใบหน้าจะพบว่าคางเป็นเหลี่ยมชัดเจน หากลองกัดฟันจะเห็นลำของกล้ามเนื้อบริเวณขากรรไกรทั้งสองข้างชัดเจนกว่าคนปกติ
การฉีด Botox ทำให้ใบหน้าเหลี่ยมดูเรียวเล็กลงได้ โดยไม่ต้องเสี่ยงเหมือนการผ่าตัดกราม เพราะ Botox จะออกฤทธิ์โดยการคลายกล้าม และช่วยลดการทำงานกล้ามเนื้อบริเวณขากรรไกร ความหนานูนของกล้ามเนื้อบริเวณมุมกรามจึงลดลง ทำให้รูปหน้าดูเรียวเล็กลงได้

ฉีด Botox ลดกราม แล้วเมื่อไหร่จะเห็นผล ??
Botox จะเริ่มออกฤทธิ์หลังจากฉีดไปแล้วประมาณ 2-4 สัปดาห์ และออกฤทธิ์เต็มที่ช่วง 2-3 เดือนหลังการฉีด ซึ่งผลการรักษาแต่ละครั้งจะคงอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน ขึ้นอยู่กับแต่ละคน

การฉีด Botox มีอันตรายไหมคะ
Botox นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายถึง 70 ประเทศทั่วโลก อีกทั้งยังได้รับความนิยมเป็นอันดับหนึ่งของเทคนิคความงาม โดยไม่ต้องผ่าตัดในปี 2547 ในสหรัฐอเมริกา และจัดเป็นสารที่ใช้แก้ไขปัญหารูปหน้า โดยไม่พึ่งศัลยกรรมมากที่สุดในปัจจุบัน

อันตรายอาจเกิดขึ้นได้จากการใช้สาร botox ที่ไม่ได้มาตรฐานในปัจจุบันสาร botulinum toxin ที่ใช้ในในประเทศไทยคือ

1 botulinum toxin ยี่ห้อ Botox ของ original จากบริษัท Allergan USA

2 botulinum toxin ยี่ห้อ Dysport เป็นของ Ipsen Limited ประเทศอังกฤษ

3 botulinum toxin จากประเทศจีนซึ่งต้องระมัดระวังเป็นอย่างมากเพราะเป็นสารที่ยังไม่มีงานวิจัยมารับรอง ควรถามแพทย์ก่อนทุกครั้งว่าใช้สาร botulinum toxin ยี่ห้อใดก่อนการฉีด

ผลการรักษาขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง

ชนิดของสาร botulinum toxin ที่นำมาฉีด
เทคนิคการฉีด
สภาพกล้ามเนื้อของผู้รับการฉีด

ผลการรักษา

ผลการรักษาโดย นพ วิสิฏฐ ศรีสนิท SVJ

บทความโดย
นพ.วิสิฏฐ ศรีสนิท
แพทย์ศาสตร์ รามาธิบดี
Dlploma in Dermatology (Institue of Dermatology BKK)

:: Share This ::