fbpx

ก่อนเสริมความงาม ต้องรู้อะไรบ้าง

ก่อนจะเสริมความงามต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง

1 มาตรฐานการรักษา
มาตรฐานในที่นี้คือ อย. หรือ FDA นั่นเองครับ ซึ่งตามปกติหมอที่ดีมักจะเลือกทำหัตถการที่ผ่าน อย. มารักษาคนไข้ครับ แต่ไม่ใช่หมอที่รักษาทุกท่านจะเป็นคนดี การรักษาความงามในปัจจุบันบางหัตถการที่ยังไม่ผ่าน อย. ยกตัวอย่างเช่น การฉีดวิตามินต่างๆ การร้อยไหม การฉีดวิตามินเข้าเส้นเลือด

2 คุณภาพในการรักษา
จากการผ่านมาตรฐาน แต่คำว่ามาตรฐานก็คือแค่ผ่านเกณฑ์ครับ ดังน้ันในเรื่องความงามผมจึงเน้นย้ำว่า ต้องเป็นมาตรฐานที่ดีที่สุด เพื่อลดอัตราเสี่ยงที่จะทำให้เกิดผลข้างเคียงให้น้อยที่สุด เช่น ยาฉีด botox filler ก็ต้องเลือกยาที่คุณภาพดีที่สุดมารักษาคนไข้ เลเซอร์ก็ต้องเลือกเครื่องมือที่ดีที่สุดมารักษา ถ้าไม่เข้าใจหมอยกตัวอย่างง่ายๆครับ เหมือนรถ รถทุกคันผ่านมาตรฐานที่ดีมาทุกคันแต่ถ้าเราเลือกได้เราคงอยากเลือกโดยสารไปกับรถใหม่ดีกว่ารถเก่า รถเบนซ์ดีกว่ารถญี่ปุ่นใช่มั้ยครับ…

 

:: Share This ::

ทำไมถึงเป็นสิวที่อายุ 30

ทำไมถึงเริ่มเป็นสิวตอนอายุ30??
เหตุผลก็คือผิวบางจากการลอกผิวครับ
จากประสบการณ์ของหมอ เวลาคนไข้อยู่ในกระบวนการลอกผิว เช่น
– การทำทรีทเมนต์
– การmask หน้า
– การทาครีม
กระบวนการต่างๆเหล่านี้จะใช้เวลาประมาณ 5-10ปี ในการกัดผิวให้บาง ซึ่งเมื่อมาคำนวนตามอายุแล้วโดยส่วนใหญ่คนเรามักสนใจดูแลผิวหน้าตอนอายุประมาณ 20 ปี บวกไปอีก10ปีที่ขัดหน้าให้บางก็เท่ากับ 30 ปีพอดี จึงเป็นเหตุผลทำให้สาวๆอายุ30ปีจึงกลับมาเป็นสิวอีกครั้งและเป็นมากกว่าเดิม

เป็นสิวอายุ 30 จากฮอร์โมน??
อันนี้ไม่จริงเลยครับ ช่วงฮอร์โมนเปลี่ยนนั่นคือ ช่วงวัยรุ่น 15-20 ปี และอีกช่วงคือ วัยหมดประจำเดือนคือ 45 ปีขึ้นไป
ดังนั้นถ้าอายุ 30 แล้วเป็นสิวฮอร์โมนนั้นไม่น่าจะจริง

เป็นสิววัย 30 ทำไมถึงติดสเตียรอยด์ได้ง่าย??
เป็นเพราะจากข้อแรกที่สาวๆส่วนใหญ่ขัดผิวจนบาง ปัญหาผิวบางและเป็นสิวจึงไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยยารักษาสิวตามปกติ ต้องใช้สเตียรอยด์ในการรักษาจึงจะทำให้หายเร็ว แต่ยิ่งใช้สเตียรอยด์ก็ยิ่งทำให้ผิวบางจึงทำให้การรักษาสิววัย30ยิ่งรักษายิ่งแย่ลง ติดหมอ ติดยา ติดสเตียรอยด์

จะทำอย่างไรในการรักษาสิววัย 30 ให้ถูกต้อง???
การรักษาสิววัย30ที่มีอาการผิวบางร่วมด้วยจึงต้องเป็นการรักษาสิวที่ไม่ทำให้ผิวบาง และต้องไม่ใช้สเตียรอยด์ ซึ่ง SVJ clinic
เรารักษาคนไข้สิวโดยไม่ใช้สเตียรอยด์แบบ 100% ด้วยความจริงใจ ไม่ใช่บอกว่าไม่ใช้สเตียรอยด์แต่จริงๆแล้วแอบให้ยาสเตียรอยด์โดยคนไข้ไม่รู้ อันนั้นไม่ใช่เราแน่นอนครับ

นพ. วิสิฏฐ ศรีสนิท
SVJ clinic

 

:: Share This ::

สร้างผิวให้เป็นแวมไพร์

หมอความงามสมัยนี้คงชอบดูหนังเดี่ยวกับแวมไพร์กันมากครับ ทั้ง twilight , Blade , interview with vampire เลยติดใจพระเอกนางเอกหล่อๆ สวยๆ ผิวขาวๆ ใสๆ น่ารักๆกันทั้งนั้น แต่…………โดนแดดไม่ได้


การสร้างกระแสทำให้คนไข้เป็นแวมไพร์ คือมีผิวที่ขาวตลอดไปแต่ห้ามโดนแดด เพราะไม่งั้นจะเป็นฝ้า กระ ( ต่างจากแวมไพร์นิดนึงตรงที่โดนแดดแล้วตาย ) เป็นคุณลักษณะของผิวที่อ่อนแอ ดังนั้นการทำทรีตเมนต์ ทาครีม หรือแม้แต่เลเซอร์บางชนิดเพื่อทำให้
ผิวขาวจึงไม่ต่างอะไรกับการทำให้ผิวเสีย ผิวบางกลายเป็นแวมไพร์ ใครอยากที่จะผิวขาวใสมากๆต้องลองตรองดูนะครับ

สำหรับ SVJ ผิวขาวใสโดยปราศจากความแข็งแรงเราไม่ทำ
ขอบคุณรูปภาพจากเว็ป www.wallpaperup.com

:: Share This ::

ทำไมคนสมัยนี้ถึงกลัวแดด???

มีความเชื่ออยู่มากมายครับเกี่ยวกับเรื่องแสงแดด ซึ่งมีทั้งเรื่องจริงไม่จริงผสมปนเปกันไปหมด การหยิบยกเรื่องข้อเสียของแสงแดดมาสร้างความกลัวให้กับประชาชนเป็นเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจครับ

หมอไม่เถียงว่า
แดดทำให้คอลลาเจนใต้ผิวเสียหาย
แดดทำใหัเกิดการกระตุ้นเม็ดสี อันจะทำให้กระ ฝ้า แย่ลง
แดดทำให้ร้อน

แต่คำถามมีอยู่ว่าจะต้องโดนแดดปริมาณเท่าไรถึงจะทำให้เกิดภาวะต่างๆเหล่านี้ได้ เพราะในสังคมปัจจุบัน เราทำงานออฟฟิส
วันๆแทบไม่เจอแดด แต่ทำไมเราถึงเป็นฝ้าเป็นกระง่าย ผิวเหี่ยวง่าย ผิวแพ้ง่าย หรือเรากำลังจะกลายเป็นแวมไพร์ไปซะแล้วครับ
( คือผิวขาวใสแต่โดนแดดไม่ได้ )


ขอบคุณรูปภาพจากเว็บ wp.streetwise.co
18 สค 57

:: Share This ::

กระแสการโฆษณา

IG Facebook สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อวิทยุ โทรทัศน์ สิ่งต่างๆเหล่านี้สามารถเป็นสื่อที่เปลี่ยนความรู้สึกของคนได้ ยกตัวอย่างที่ผ่านๆมา
ไอออนโตโฟโนบำรุงผิว กรอเกร็ดอัญมณีให้ผิวใส การ ฉีดวิตามินให้ตัวขาว การร้อยไหมยกกระชับ ทรีตเมนต์เหล่านี้ล้วนแต่เป็น
ทรีตเมนต์แห่งกระแสทั้งสิ้น ยิ่งในสมัยนี้มีเหล่าผู้นำเทรนด์นำแฟชั่น บล้อคเกอร์ ดารา มาร่วมช่วยโปรโมท ยิ่งทำให้การดูแล
ความงามเป็นเรื่องของกระแสขึ้นไปทุกวัน การตามกระแสนั้นหากเป็นเรื่องราวดีๆที่เกิดจากฐานข้อมูลของวิชาการแพทย์ที่ดี
ย่อมเป็นเรื่องดีครับ แต่เรื่องกระแสบ่งอย่างเป็นกระแสลากกันไป ใครทำก่อนใครกล้ากว่าคนนั้นรวย อันนี้ไม่น่าตามครับ

ดังนั้นประชาชนทั่วไปควรระมัดระวังกับความเชื่อที่ตามกระแส คนว่าดีเราก็ตามกัน ใครว่าไม่ดีก็คอยจ้องจับผิด อันนี้น่ากลัวครับ สุดท้ายวันนี้หมอได้อ่านเรื่องราวที่แชร์กันมาในช่วงนี้แล้วรู้สึกว่าดีครับเลยนำมาให้ลองอ่านดูครับ อ่านแล้วลองทบทวนกันดูว่า
เราเชื่อในสิ่งที่เราไม่รู้มากแค่ไหนในสังคมออนไลน์ ณ ปัจจุบัน

เรือสำราญลำหนึ่งเจอมรสุมทางทะเล

บนเรือมีสามีภรรยาคู่หนึ่ง กระเสือกกระสนมาถึงเรือชูชีพ บนเรือชูชีพมีเพียงที่ว่างที่เดียว…ทันใดนั้นสามีผลักภรรยาไปข้างหลังตัวเองโดดขึ้นไปบนเรือชูชีพ ภรรยายืนอยู่บนเรือที่ค่อยๆจมลงตะโกนไปที่สามีประโยคหนึ่งว่า….

เล่าถึงตอนนี้…

อาจารย์ถามนักเรียน:พวกเธอเดา ผู้หญิงจะตะโกนว่าอะไร

พวกนักเรียนที่โกรธเกรี้ยวต่างพูดว่า:ฉันเกลียดคุณ ฉันมันตาบอด

ณ บัดดล อาจารย์สังเกตเห็นนักเรียนคนหนึ่งไม่พูดไม่จาตลอดเวลาก็เลยถามเขา

นักเรียนคนนี้พูดว่า : อาจารย์ หนูคิดว่าผู้หญิงคงจะตะโกนว่า—ดูแลลูกเราให้ดีดีนะคะ

อาจารย์ตกใจ ถามว่าเธอเคยได้ยินนิทานเรื่องนี้แล้ว ใช่ไหม

นักเรียนสั่นหัว :”ไม่เคย แต่ตอนแม่หนูป่วยหนักก่อนตาย ได้พูดแบบนี้กับพ่อหนูค่ะ”

อาจารย์ซึ้งใจและพูดว่า :คำตอบถูกต้อง

เรือจมลงไปแล้วผู้ชายกลับไปถึงบ้านเลี้ยงดูบุตรสาวตามลำพังจนโต หลายปีผ่านไปผู้ชายป่วยตาย ลูกสาวจัดข้าวของของพ่อพบไดอารี่ของพ่อที่แท้พ่อกับแม่ไปเที่ยวเรือสำราญแม่ก็ป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หายเงื่อนเวลาแห่งความเป็นความตาย พ่อฉวยโอกาสเดียวที่จะรอดชีวิตเขาเขียนในไดอารี่ว่าฉันอยากจะจมลงใต้ทะเลพร้อมเธอแต่ฉันทำไม่ได้เพื่อลูกสาว ฉันจำต้องให้เธอนอนหลับยาวอยู่ใต้ทะเลลึก…….นิทานเล่าจบห้องเรียนเงียบกริบ อาจารย์รู้ว่านักเรียนต่างก็เข้าใจนิทานเรื่องนี้กันหมดแล้วความดีและความชั่วในโลกนี้บางครั้งดูสับสนไม่ชัดเจนแยกแยะไม่ออก

เพราะฉะนั้น อย่าตัดสินคนอื่นแบบผิวเผิน คิดไตร่ตรองให้รอบคอบในทุกๆเรื่องที่ผ่านเข้ามาครับ ไม่ใช่ดูแค่แวบเดียว อ่านแค่บรรทัดเดียวก็เชื่อตามกระแสแล้ว

:: Share This ::

วลีของ Steve Jobs ในมุมมองของหมอ

“You can’t connect the dots looking forward you can only connect them looking backwards. So you have to trust that the dots will somehow connect in your future.”

Steve Jobs, Stanford Commencement Address, 2005

วันนี้หมออ่านเจอวลีของ Steve Jobs ในมุมมองของหมอ วลีนี้หมายถึงเราไม่สามารถรู้หรือทำนายอนาคตได้หรอกว่าการที่เราทำสิ่งใดในวันนี้แล้วผลที่ได้ในอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่มันสามารถบอกถึงอดีตที่เราทำผ่านมา เพื่อทำให้พบอนาคตที่ดีกว่า

เปรียบเหมือนการรักษาโรคครับ ถ้าเรายึดติดกับการรักษาแบบเดิมๆ ทำซ้ำแล้วซ้ำอีก แล้วทำได้เพียงแค่ดีขึ้นไม่หายขาด ไม่ยั่งยืน ซึ่งถ้าไม่มีทางเลือกเราอาจทำต่อไปครับ แต่ถ้าเรามีทางเลือกเราควรจะเลือกทางเดินใหม่ที่ไม่ซ้ำกับทางเก่าที่มันทำให้เราไม่หายจากโรค

ถ้าจะยกตัวอย่างจากงานที่หมอทำอยู่ทุกวันคือ การรักษาโรคผิวหนัง สิ่งที่ทำให้เรายึดติดกับการรักษาแบบเดิมๆ นั่นคือ สเตียรอยด์ ซึ่งมันไม่สามารถตอบโจทย์ในการแก้ไขโรคให้หายขาด เพียงแค่บรรเทาอาการ และ ยอมที่จะต้องเป็นโรคตลอดไป แต่ถ้าเราเอาอดีตที่ผ่านมาเป็นบทเรียน และอยากก้าวหน้าในด้านการรักษา คงต้องยอมทิ้งสเตียรอยด์ไปเพื่อค้นหาแนวทางอื่นในการรักษาผิวหนัง ซึ่งแน่นอนครับว่า “มันไม่ง่ายแน่ๆ”

ขอบคุณรูปภาพจาก boomsbeat.com
นพ. วิสิฏฐ ศรีสนิท
Diploma in Dermatology
8 สค 57

:: Share This ::