สัปดาห์ก่อนมีเรื่องราวเกี่ยวกับโบท็อกซ์ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับ เรื่องของเรื่องคือ อดีตดาราภาพยนต์คนหนึ่งได้รับผลข้างเคียงจากการฉีดโบท็อกซ์ที่สถาบันเสริมความงามแห่งหนึ่ง เพื่อลดเลือนริ้วรอยบริเวณรอบดวงตา แต่กลับทำให้หนังตาข้างซ้ายหย่อนผิดปกติ จนกลายเป็นข่าวดังขึ้นหน้าหนึ่งทีเดียว ความจริงในที่นี้คืออะไร?
Botox หรือโบท็อกซ์ เป็นชื่อทางการค้าของ สารโบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ (Botulinum toxin A) จากอเมริกาซึ่งเป็นสารโปรตีนชนิดหนึ่งที่สร้างจากแบคทีเรียชื่อ คลอสตริเดียม โบทูลินั่ม (Clostridium botulinum) อันเป็นสารทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว ลดการหดตัวของกล้ามเนื้อ หากได้รับในปริมาณมากๆ ก็อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้อาจเสียชีวิตได้ ดังนั้นการใช้สารโบท็อกซ์ควรอยู่ในการดูแลจากแพทย์เท่านั้น
ในทางด้านการแพทย์การใช้สารเริ่มมีการทดลองใช้โดยจักษุแพทย์ตั้งแต่ปี 1980 ในการแก้ไขปัญหาหนังตากระตุก ตาเหล่และปัญหาเกี่ยวกับดวงตา และพบว่าการใช้ Botulinum toxin ช่วยแก้ไขปัญหารอยเหี่ยวย่นรอบดวงตาร่วมด้วยโดยbotox กับความงามเริ่มต้นเมื่อปี 1997ในงานวิจัยของ Dr Carruthers A, Carruthers J. (Cosmetic uses of botulinum A exotoxin. Adv Dermatol. 1997;12:325-47; discussion 348 )
ในปัจจุบันการใช้ Botulinum toxin A เพื่อความงามได้รับความนิยมแพร่หลายมาก โดยส่วนใหญ่ใช้ในการแก้ไข
รอยย่นหน้าผาก ระหว่างคิ้ว และ รอยตีนกา เมื่อเป็นที่นิยมมากขึ้น ปัญหาที่ตามมาก็มากขึ้นโดยปัญหาจากการใช้ Botulinum toxin A มีได้ 2 กรณีคือ
1. การใช้สาร Botulinum toxin A ที่ไม่ได้มาตรฐาน click ข้อมูล botox เก่า http://www.svjclinic.com/content.php?cate=article&iden=32
2. เทคนิกการฉีดไม่สมบูรณ์ ยกตัวอย่างในคนเอเซีย กล้ามเนื้อมีความแข็งแรงน้อยกว่าฝรั่งดังนั้นหากใช้เทคนิกการฉีดตามแบบฝรั่งอาจมีปัญหาได้ หมอเคยพูดให้คนขั้งประเด็นนี้อยู่บ่อยๆ
ส่วนกรณีที่เกิดขึ้นในหน้าหนังสือพิมพ์ที่มีการฉีดสารโบทอกซ์แล้วทำให้เกิดหนังตาซ้ายตก ในทางการแพทย์เรียกว่า ptosis of the upper eyelid เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ในการฉีดรักษารอยย่นรอบดวงตาและหน้าผาก พบได้หลัง
การฉีดประมาณ 1-2 สัปดาห์ แต่โชคดีที่อาการนี้จะค่อยๆหายภายใน 1-3 เดือน มีการนำยาหยอดตาที่มีส่วนผสมของ apraclonidine 0.5% มาช่วยจะทำให้อาการทุเลา ตามประสบการณ์ที่หมอทำการรักษาคนไข้ด้วย Botulinum toxin A สำหรับคนไทยที่มีกล้ามเนื้อแตกต่างจากฝรั่งกล่าวคือกล้ามเนื้อคนไทยแข็งแรงน้อยกว่า ดังนั้นเทคนิกการฉีดรวมทั้งการใช้ปริมาณยาจึงต้องแตกต่างกัน การปรับแต่งให้มีการใช้ปริมาณยาน้อยที่สุดเพื่อให้ได้ผลมากที่สุดและมีผลข้างเคียงน้อยที่สุดเป็นศาสตร์ในการใช้สาร Botulinum toxin A
นพ.วิสิฏฐ ศรีสนิท
พบ.รามาธิบดี
Diploma in Dermatology