fbpx

5 ความเชื่อเรื่องสิว

สิวปัญหาสำคัญของวัยรุ่นเกือบทุกคน มากกว่า90%ของคนบนโลกต้องเคยเป็นสิวดังนั้นจึงมีความเชื่อในการรักษาสิวเกิดขึ้นตามมาอย่างมากมาย คนไข้ที่เข้ามาพบหมอมักมีคำถามเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวในการรักษาสิวยกตัวอย่างเช่น การทานอาหาร การล้างหน้า ความเครียด การนอนพักผ่อน ว่ามีผลต่อเม็ดสิวหรือไม่ ?? บังเอิญหมอได้อ่านงานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Stanford California เป็นงานวิจัยเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องการรักษาสิวซึ่งหมอคิดว่ามีประเด็นที่น่าสนใจหลายประเด็นที่จะนำมาเล่าสู่กันฟัง
ความเชื่อเรื่องสิวในบางเรื่องอาจนำไปสู่ผลที่ตามมาในทางไม่ดีเช่น การเกิดรอยแผลเป็น หรือ รอยดำ ดังนั้นหลังจากอ่านบทความนี้หมอเชื่อว่าจะทำให้ผู้อ่านดูแลเรื่องสิวได้ดีขึ้นไม่มากก็น้อยครับ

01.

91.3% การดูแลสุขอนามัยที่ดีจะทำให้ลดการเกิดสิว

ของกลุ่มตัวอย่างเชื่อว่าการดูแลสุขอนามัยที่ดี เช่น การใช้สบู่ การดูแลความมันบนใบหน้าจะทำให้ลดการเกิดสิว
FACT ยังไม่มีข้อสรุปที่บอกว่าการดูแลผิวพรรณให้สะอาดอยู่ตลอดเวลาจะช่วยลดการเกิดสิวซ้ำร้ายหากการดูแลความสะอาดนั้นอาจทำให้เกิดสิวเพิ่มมากขึ้นด้วยหากดูแลผิดวิธียกตัวอย่างเช่น การใช้สบู่ที่มีฤทธิ์ในการชำระล้างที่สูงเกินไป การใช้มือถูนวดใบหน้ามากเกินไป

02

59.2% การล้างหน้าช่วยทำให้ลดการเกิดสิว

ของกลุ่มตัวอย่างเชื่อว่าการล้างหน้าบ่อยๆช่วยลดการเกิดสิว
FACT การล้างหน้าที่มากเกินไปร่วมกับการขัดถูจะทำให้สิวแย่ลง โดยการกระทำเช่นนี้อาจทำให้เกิดสิวอักเสบหรือรอยดำจากสิวขึ้นมาได้ เคยมีการทดลองเปรียบเทียบการรักษาสิวโดยแบ่งเป็นกลุ่มAพยายามรักษาสิวโดยทำให้ผิวแห้งที่สุด กลุ่มBรักษาตามปกติ กลุ่มCรักษาโดยพยายามหลีกเลี่ยงน้ำ ผลที่ได้คือ กลุ่ม BและC ให้ผลที่ดีกว่าการรักษาที่ทำให้ใบหน้าแห้ง

03

88.3% การแตะจับใบหน้าบ่อยๆมีผลทำให้สิวแย่ลงหรือไม่

ของกลุ่มตัวอย่างเชื่อว่าการแตะจับใบหน้าบ่อยๆมีผลทำให้สิวลง
FACT การแตะจับผิวหน้าบ่อยๆ เกิดการระคายเคืองของผิวหนังทำให้เกิดสิว เป็นความเชื่อที่ถูกต้องแต่หมอจะเพิ่มเติมคือการนวดหน้า ทำทรีตเมนท์ต่างๆทำให้เกิดสิวได้เช่นกัน

04

85.4% การแกะสิวหรือกดสิว

ของกลุ่มตัวอย่างเชื่อว่าทำให้สิวแย่ลง
FACT ถูกต้องการแกะสิวและการกดสิวทำให้เกิดสิวและซ้ำร้ายยังทำให้มีรอยแผลเป็นจากสิวอีกด้วยฉะนั้นหลักการที่จะทำให้หัวสิวหลุดออกไปโดยเร็วที่สุดนั้นไม่ถูกต้อง หมอขอเสริมว่าการใช้น้ำกรดแต้มก็ไม่ได้ช่วยการรักษาสิว

05

69.9% การรับประทานอาหาร

ของกลุ่มตัวอย่างเชื่อว่าอาหารบางอย่างทำให้เกิดสิว
FACT ก่อนหน้านี้แพทย์บางส่วนไม่เชื่อว่าการทานอาหารมีผลต่อการเกิดสิว แต่ในปัจจุบันมีการรายงานอาหารที่เกิดสิวมากขึ้นส่วนมากเป็นอาหารของชาวตะวันตกที่มีส่วนผสมของนมและผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมเช่น เนย sherbet ครีมต่างๆ ปัจจุบันวัยรุ่นไทยก็นิยมอาหารFast food เค้ก ขนมปังมากขึ้นจึงทำให้อัตราเกิดสิวมากขึ้น

:: Share This ::

แสงกับสิว

มีคำถามว่าแสงแดดมีประโยชน์หรือไม่??

มีครับและมีประโยชน์อย่างมากมาย ยกตัวอย่างเช่น ช่วยให้เรามองเห็นสิ่งต่างๆโดยหลักการสะท้อนแสง ช่วยในการเก็บถนอมอาหารและฆ่าเชื้อโรคดังการทำกล้วยตาก ช่วยในการสังเคราะห์แสงของต้นไม้ ช่วยสร้างวิตามินดีในร่างกายมนุษย์ และอื่นๆอีกมากมาย

เมื่อความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมีมากขึ้นมีการนำแสงแต่ละสเปกตรัมมาใช้ประโยชน์ในแง่ต่างๆเช่น การใช้แสงฆ่าเชื้อโรค การตรวจบาร์โคดด้วยแสงอินฟาเรด จะเห็นได้ว่าแสงเข้ามามีส่วนร่วมกับวิถีชีวิตของคนมากขึ้นนอกเหนือไปจากการให้แสงสว่างในการมอง

ในเรื่องของแสงกับสิว ในขณะนี้ได้มีการนำแสงในจุดคลื่นอินฟาเรด ( SmoothBeam ) ซึ่งปลอดภัยไม่ทำให้เกิดผิวไหม้หรือมะเร็งผิวหนังดั่งเช่นแสงอัลตราไวโอเลต มาใช้ในการดูแลรักษาสิวและรอยแผลเป็นของสิวโดยหลักการที่ว่าแสงอินฟาเรดจะไปทำให้เกิดความร้อนใต้ผิวหนังนำไปสู่การฆ่าเชื้อแบคทีเรียซึ่งเป็นบ่อเกิดของสิว ทำให้การอักเสบของสิวลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งหลักการนำแสงอินฟาเรดมาใช้ในการรักษาดูแลเกี่ยวกับปัญหาผิวหนังนั้นได้มีการทดลองและประเมินประสิทธิภาพว่าปลอดภัยเห็นผลได้จริงจากองค์การอาหารและยาจากสหรัฐอเมริกาประเทศที่ได้ชื่อว่ามาตรฐานทางการแพทย์สูงที่สุดใหนโลก

โดยสรุปแล้วการรักษาสิวด้วยแสงถือเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่น่าจับตามอง หากสามารถนำมาทดแทนการรักษาโดยวิธีเดิมๆเช่นการทานยาแก้อักเสบ การทานกรดวิตามินเอซึ่งส่งผลทำให้เกิดการสะสมและเกิดผลข้างเคียงของยาได้

:: Share This ::

แผลเป็นของสิวที่จมูก

เพราะจมูกเป็นศูนย์กลางของใบหน้า โบราณจึงให้ความสำคัญกับจมูกมาก ผู้ที่มีรูปจมูกโดยเฉพาะที่เป็นลักษณะดีหากใครมีก็จะถูกระบุว่าเป็นผู้มีวาสนา มีอันจะกินต่างๆ นานา นอกจากนั้นการแยกแยะเผ่าพันธุ์ก็เห็นได้ชัดที่รูปร่างของจมูก เช่น ชาวยุโรป จะมีจมูกโด่งเป็นสันมีเนื้อจมูกน้อย ส่วนนิโกร จะมีจมูกใหญ่ แบน ขณะที่ชาวเอเซียจะมีจมูกที่ได้รูปทรงและผู้เขียนคิดว่าสวยงามที่สุด ผู้ที่มีจมูกไม่สวย เช่น เล็กไป หรือแบนไปจีงต้องเสริมจมูกทำให้ศัลยกรรมการทำจมูกเป็นศัลยกรรมที่ทำบ่อยที่สุดในเมืองไทย

การรักษาสิวที่ปลายจมูกจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใส่ใจเป็นพิเศษเพราะแผลเป็นที่เกิดแบบเดียวกันที่แก้มสามารถดูดีขึ้นเองตามธรรมชาติได้เพราะมีเนื้อหนังเสริมเมื่ออายุมากขึ้นหรือมีน้ำหนักมากขึ้น
ในอีกมิติหนึ่งที่น่าจะนำมาเขียนเพื่อให้ได้สาระก็คือ ผิวของจมูกเพราะไม่ว่ารูปจมูกจะสวยงามอย่างไรก็ตาม หากผิวของจมูกเป็นรอยด่างดำ เป็นแผลเป็น หรือมีสิวเสี้ยนก็จะเป็นที่รังเกียจ ทำให้ความงามและความหล่อเหลาน้อยลงทันที
การรักษาสิวจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องระมัดระวังการเกิดแผลเป็นจากสิว การเกิดสิวหัวดำ สิวเสี้ยน และรูขุมขนใหญ่ที่ปลายจมูกเสมอ

การรักษาสิวแบบพื้นๆที่ทำกันอยู่มีหลายวิธีที่ไม่เหมาะกับการรักษา สิวที่จมูก เช่น
การใช้แผ่นฟิมล์มที่มีกาวมาลอกหัวสิวที่จมูก
ทั้งนี้ เพราะจะมีการกระชากให้หัวสิวที่ติดอยู่ในโพรงขนให้หลุดออกมา ย่อมทำให้เกิดการทำลายเยื่อบุโพรงขนทำให้เกิดอาการถ่าง และยุบตัวเมื่อทำการรักษาเช่นนี้ท้ายที่สุด รูขุมขนประเภทนี้จะดูเป็นระเบียบการรักษาหรือการกลบเกลื่อนรอยเหล่านี้ด้วยแป้งรองพื้น ทำแทบไม่ได้เลย

การกดหรือบีบหัวสิวที่ปลายจมูก
จะทำให้เกิดผลเช่นเดียวกับวิธีแรก เพียงแต่รูขุมขนที่เป็นแผลนั้นดูจะไม่เป็นระเบียบมีบางรูที่เป็นรูลึกกว่าบางรู

การฉีดยาแก้อักเสบลงไปที่หัวสิว
การรักษาเช่นนี้เป็นแต่เพียงการลดการอักเสบ แต่หัวสิวที่ก่อให้เกิดการอักเสบยังคงค้างคาอยู่ในบริเวณนั้นดังนั้นการอักเสบจะกลับมาเป็นอีก และจะเป็นรุนแรงกว่าเดิมสุดท้ายก็จะมีการเกิดฝีอักเสบได้ทำให้ต้องมีการเจาะเพื่อนำหนองออกลงท้ายเกิดแผลเป็นมาก และเป็นรูปทรงที่น่าเกลียด คล้ายแผลที่เกิดจากงูสวัด หรืออีสุกอีใสทีเดียว

ดังนั้น การรักษาสิวที่ปลายจมูกจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะแผลเป็นที่เกิดแบบเดียวกันที่แก้มสามารถดูดีขึ้นเองตามธรรมชาติได้ เพราะมีเนื้อหนังเสริมเมื่ออายุมากขึ้นหรือมีน้ำหนักมากขึ้น

นอกจากนี้การแต่งหน้าที่บริเวณแก้มก็สามารถบดบังปัญหาได้หากจะทำการรักษาแผลเป็นด้วยแสงเลเซอร์ ไม่ว่าจะใช้ Smoothbeam or cooltouch ก็จะได้ผลที่ดีกว่าการรักษาด้วยเครื่องมือแบบเดียวกันที่ปลายจมูกได้อีกด้วย

มีข้อต้องระวังการรักษาสิวด้วย Smoothbeam นั้นจะรู้สึกระคายเคืองอยู่บ้างแต่ก็น้อยกว่าการบีบหรือเจาะสิว

หวังว่าข้อมูลและความคิดเห็นนี้จะเป็นประโยชน์ อย่าให้เกิดเป็นแผลเป็นที่ปลายจมูกถึงขั้นที่ทำให้ต้องใช้จมูกกลมของตัวตลกมาใส่เพื่อปิดบังกัน เพราะการที่สามรถเรียกเสียงหัวเราะเช่นนั้น ไม่ได้ทำให้คุณรู้สึกดีเหมือนการที่ตัวตลกจงใจในการเรียกเสียงหัวเราะเลย

:: Share This ::

รักษาสิวอย่างไรจึงปลอดภัย

สิวเป็นโรคที่พบบ่อยที่สุดของโรคผิวหนัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวัยรุ่น (วัยที่กำลังเอาใจใส่ตัวเองในเรื่องของความสวยความงามมากที่สุด แต่มีประสบการณ์และทุนทรัพย์น้อยที่สุด) ฉะนั้นในบทความนี้หมออยากจะเขียนให้ผู้อ่านรู้ถึง
1. ต้นเหตุของการเป็นสิว ว่าไม่ใช่เกิดจากฮอร์โมนเพียงอย่างเดียว
2.ผลข้างคียงของการรักษาสิวแบบต่างๆ ซึ่งอาจทำให้เกิดสิวจากการรักษาได้

ต้นเหตุของการเป็นสิว

ผู้อ่านจำนวนมากรู้ว่าสิวเกิดจากฮอร์โมนเพศชาย ที่หลั่งออกมากในช่วงวัยรุ่น ทำให้ไปกระตุ้นการทำงานของต่อมไขมันมากขึ้นผิวหน้าจึงมัน หากการทำงานมากผิดปกติจนทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขน จะเกิดสิวอุดตันตามมา (comedo)และถ้าสิวอุดตันเหล่านี้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียที่พบอยู่ตามใบหน้า (P.acnes) ยังผลให้เกิดสิวอักเสบเป็นหนองตามมา ในรายที่รุนแรงอาจเป็นฝีบริเวณใบหน้าได้ ซึ่งสิวส่วนใหญ่จะหายได้เอง หากรู้จักวิธีดูแลที่ถูกต้อง

อีกสาเหตุของการเกิดสิวที่ผู้อ่านมักไม่ทราบ คือ การใช้เครื่องสำอางต่าง ๆ ทั้งครีมป้องกันแดด ครีมหน้าขาว ครีมป้องกันริ้วรอย ฯลฯทำให้เกิดสิวได้ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักมุ่งเน้นในเรื่องการโฆษณาให้ความสวยงามทำให้ ประชาชนทั่วไปมีความต้องการที่จะใช้มากขึ้น (โดยเฉพาะวัยรุ่น ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเป็นสิวได้ง่ายอยู่แล้ว) ฉะนั้นการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าควรเลือกใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น
สาเหตุสุดท้ายของการเกิดสิว ซึ่งเป็นสิ่งที่กำลังทำการวิจัยกันมากที่สุดในขณะนี้ คือ เรื่องของการกินกับสิว มีรายงานในต่งประเทศพบว่า คนที่บริโภคนมวัว เนย ถั่ว มีอัตราการเกิดสิวมากขึ้นและตามประสบการณ์ของหมอ การรับประทานนม ,เนย , ถั่วเปลือกแข็ง วิตามินรวม , กล้วย , ทุเรียน ข้าวซ้อมมือ และแอลกอฮอล์ จะทำให้ผิวหน้าเป็นสิวได้ง่ายกว่าปกติ
อีกประเด็นที่อยากจะหยิบมาคุยในเรื่องของสิว ก็คือ โทษของการรักษาสิว

การรักษาสิว ทำให้เกิดผลข้างเคียงของการรักษาได้ คือ
1. เกิดสิวเม็ดใหม่
2. เกิดแผลเป็น
3. ทำให้ผิวหน้าบาง อักเสบง่าย หน้าแดง
4. เกิดการแพ้ยาได้ หากรุนแรงอาจเสียชีวิตได้ (พบน้อยมาก)

ในขณะนี้การรักษาสิวเป็นที่นิยมมากขึ้น เกิดแนวทางการรักษาขึ้นมากมาย ทำให้ประชาชนเกิดความสับสนว่าวิธีการใดเหมาะกันตนเองหรือไม่ รักษาแล้วจะมีผลข้างเคียงอย่างไร หมออยากจะเล่าถึงวิธีการรักษาสิวต่างๆ พอเป็นสังเขปดังนี้

1. การรักษาด้วยยาทาสิว
เป็นวิธีการรักษาที่ค่อนข้างจะปลอดภัย จะมีบ้างที่เกิดการระคายเคืองต่อผิวหน้า เช่น กรดวิตามินเอ ยาทาเบนซอยด์เปอร์ออกไซด์ (BP) ยาทาแก้อักเสบต่างๆ เช่น คลินดาไมซิน อริโธมัยซิน อาจทำใช้เชื้อP.acne ดื้อยา ส่วนการแต้มสิวด้วยกรดผลไม้ชนิดต่างๆ หรืแม้กระทั่งกรด TCA ยังไม่มีรายงานพบว่าจะช่วยให้สิวยุบตัวได้เร็วขึ้น แต่จะทำให้เกิดแผลเป็นได้ หากใช้ความเข้มข้นสูงๆ ระวังในยาทาสิว ทีมีส่วนผสมของสเตียรอยด์ ในรูปของยาทาแก้แพ้ หากใช้ไปนานๆ จะทำให้ผิวหน้าบาง หน้าแดง มีเส้นเลือดผิดปกติ การรักษาจะยุ่งยากมาก เพราะฉะนั้นควรระวังการใช้ยาในรูปยาแก้แพ้ (หาอ่านได้ในบทความถนอมผิวแพ้ก่อนสายเกินแก้)

2. การรักษาในรูปของยารับประทาน
ยารักษาในกลุ่มยาแก้อักเสบ เช่น กลุ่มยาแบคทริม ( Bactrim) และแดบโซน (Dapsone) อาจทำให้เกิดการแพ้ยาหากรุนแรงอาจถึงชีวิตได้
(อุบัติการณ์การเกิดต่ำมาก แต่ที่เขียนเพราะไม่อยากให้น้องๆไปซื้อยากินเอง ควรอยู่ในความควบคุมของแพทย์) ยาเตตราไซคลิน (tetracycline) มีผลทำให้เกิดการคลื่นใส้อาเจียน เกิดเชื้อราในช่องคลอดได้ง่าย ยารับประทานในกลุ่ม กรดวิตามินเอ หรือที่น้องๆรู้จักกันในชื่อ ยาโร (Roaccutane) ยาในกลุ่มนี้รักษาสิวได้ดีมากแต่ผลข้างเคียงที่ตามมาก็มากเช่นกัน อาทิ ปากแห้ง หน้าตาแห้ง ผิวแห้ง ระดับไขมันในเลือดสูง และที่สำคัญ คือ ก่อให้เกิดความพิการของทารกในครรภ์ ยากลุ่มนี้เป็นยาควบคุมสั่งจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น ฉะนั้นผู้อ่านไม่ควรซื้อหารับประทานเอง เพราะจะเกิดผลข้างเคียงโดยรู้เท่าไม่ถึงกาลได้
ผลข้างเคียงที่สำคัญอีกหนึ่งอย่างของการรับประทานยารักษาสิวนานๆ คือผมร่วง ซึ่งหมอพบว่า ขณะนี้มีคนไข้ผมร่วงผิดปกติในวัยรุ่นเพิ่มขึ้นอย่างผิดสังเกต

3. การรักษาสิวในรูปของยาฉีด
ยาฉีดมักอยู่ในรูปของสารสเตียรอยด์ มีผลต้านการอักเสบเมื่อฉีดยาให้หัวสิวทำให้สิวยุบตัวอย่างรวดเร็วเป็นที่ถูกอกถูกใจของคนไข้แต่ภายหลังการฉีดสิว 1-2 สัปดาห์ สิวผดไม่มีหัวจะขึ้นใหม่รอบๆรอยฉีดเดิมจากผลของสเตียรอยด์ หากแพทย์หรือคนไข้ไม่เข้าใจก็จะมีการฉีดยาซ้ำเข้าไปอีกทำให้เกิดการสะสมของสเตียรอยด์ใต้ชั้นผิวหนังสิวจึงขึ้นๆยุบๆต่อไปไม่มีหยุด และถ้าฉีดยาลึกลงใต้ชั้นผิวหนังจะทำให้ผิวหนังบริเวณนั้นยุบตัวเกิดรอยแผลเป็นขึ้นมาอีก หากคนไข้หรือแพทย์ผู้ทำการรักษามีทัศนะคติในการรักษาสิวแบบนี้ก็จะทำให้เกิดโทษจากการรักษาได้
ยาฉีดอีกประเภท คือ เมโสเธอราปี (Mesotherapy) เป็นการนำสารเคมีหรือตัวยาต่างๆฉีดเข้าไปในผิวหนังชั้นบนโดยใช้เครื่องฉีดยาชนิดพิเศษ ซึ่งขณะนี้มีรายงานการรักษาอยู่น้อยมากในเรื่องการรักษาสิว และตัวยาที่ฉีดก็มีมากมายทำให้ตั้งมาตรฐานในการรักษาได้ยาก ควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจในการรักษา

4. การรักษาโดยใช้ แสงเลเซอร์
วิธีการนี้เป็นวิธีการใหม่ อาศัยเทคโนโลยีชั้นสูง โดยการใช้แสงที่มีช่วงคลื่นจำเพาะไปควบคุมทำลายต่อมไขมัน วีธีการรักษาสิวโดยเลเซอร์นี้จะมีผลเฉพาะผิวหนังบริเวณที่ทำการรักษาได้ผลดี จุดประสงค์ของการใช้แสงเพื่อที่จะลดการใช้ยาและผลข้างเคียงต่างๆ แต่ข้อเสียคือเทคโนโลยีราคาแพง ต้องอาศัยประสบการณ์จากแพทย์สูง ทำให้ค่าใช้จ่ายสูงขึ้นตามตัว
ขณะนี้มีการรักษาสิวมากมายหลายวิธี บางวิธีอาจจะผิดแผกไปกับตำราวิชาการซึ่งเกิดจากอุปสงค์ อุปทานของการรักษาที่มีมากขึ้น ทำให้การรักษายิ่งเน้นไปในการทำธุรกิจมากขึ้นแต่หากมาตั้งวัตถุประสงค์ในการรักษาสิวที่ถูกต้อง คือ ปลอดภัยไม่มีภาวะแทรกซ้อนและที่สำคัญคือ ไม่เกิดแผลเป็นจากสิว ก็จะทำให้เรารู้ว่าควรรักษาสิวของตนเองอย่างไรจึงจะเหมาะสม

บทความโดย
นพ.วิสิฏฐ ศรีสนิท
แพทย์ศาสตร์ รามาธิบดี
Dlploma in Dermatology (Institue of Dermatology BKK)

:: Share This ::